โทรศัพท์:0910713531  Whatsapp:+66910713531  อีเมล:info@counsellingthailand.co.th    วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 20.00 น.

เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน

รับคำปรึกษาเลย

Toxic Positivity เมื่อความคิดบวกกลายเป็นพิษ

by Counselling Thailand | มิ.ย. 29, 2025

ในโลกที่เต็มไปด้วยคำพูดสร้างแรงบันดาลใจและการเน้นย้ำถึงพลังของความคิดบวก เรามักถูกสอนให้มองหาด้านดีในทุกสถานการณ์ และผลักดันตัวเองให้ก้าวข้ามความรู้สึกแย่ ๆ ไปให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ในความจริงแล้ว การพยายามคิดบวกตลอดเวลาอาจทำให้เรามองข้ามความสำคัญของการยอมรับและประมวลผลอารมณ์ด้านลบโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราปฏิเสธความรู้สึกที่ไม่สบายใจ หรือบอกตัวเองว่า “ต้องเข้มแข็งเสมอ” เราอาจกำลังผลักตัวเองเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “ความบวกเป็นพิษ” (Toxic Positivity) — สภาวะที่ความคิดบวกถูกนำมาใช้ในทางที่ไม่สมดุล จนกลายเป็นการกดทับอารมณ์แท้จริงของตัวเอง

แต่คุณรู้ไหมว่า Toxic Positivity อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตมากกว่าที่คิด? การปฏิเสธความรู้สึกเศร้า โกรธ หรือผิดหวัง อาจทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว ไม่กล้าเปิดเผยความทุกข์ให้ใครรับรู้ และส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมในระยะยาว การยอมรับอารมณ์เชิงลบไม่ได้หมายความว่าเรายอมแพ้ แต่เป็นการให้พื้นที่กับตัวเองในการทำความเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นอย่างแท้จริง

มาทำความเข้าใจแนวคิดนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมเรียนรู้วิธีดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เราจะพาคุณไปสำรวจว่า Toxic Positivity มีหน้าตาเป็นอย่างไร มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง และที่สำคัญ เราจะสร้างสมดุลระหว่างความคิดบวกกับการโอบรับความรู้สึกด้านลบอย่างอ่อนโยนได้อย่างไร เพื่อให้เราสามารถเติบโตเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่แข็งแกร่งและกลมกล่อมมากขึ้น 

Toxic Positivity คืออะไร ?

คือ สภาวะที่คนเราถูกคาดหวังหรือกดดันให้มีทัศนคติเชิงบวกอยู่ตลอดเวลา แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ ความคิดเช่นนี้มักเกิดขึ้นจากความตั้งใจดีที่ต้องการปลอบโยนหรือให้กำลังใจผู้อื่น แต่ในความเป็นจริง การผลักดันให้คน “คิดบวก” โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ประมวลผลอารมณ์ด้านลบ อาจกลายเป็นการลดทอนความรู้สึกของผู้รับฟังอย่างไม่รู้ตัว

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนระบายความเศร้าหรือความผิดหวัง แล้วได้รับคำตอบกลับว่า “อย่าคิดมาก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” หรือ “มองโลกในแง่ดีสิ ทุกอย่างต้องดีขึ้นแน่นอน” แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะฟังดูเหมือนคำปลอบใจ แต่ในทางจิตวิทยา การตอบสนองเช่นนี้อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าความเจ็บปวดหรือความทุกข์ของพวกเขาไม่มีความหมาย และถูกมองข้ามไปในนามของ “ความคิดบวก” 

การเพิกเฉยต่อความรู้สึกเชิงลบ หรือพยายามกลบเกลื่อนความเจ็บปวดด้วยการมองโลกในแง่ดีตลอดเวลา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาว คนที่เผชิญกับ ความบวกเป็นพิษ อาจรู้สึกผิดที่ตัวเองรู้สึกแย่ หรือกังวลว่าการแสดงความรู้สึกด้านลบจะทำให้ตัวเองกลายเป็น “คนอ่อนแอ” ในสายตาคนรอบข้าง ส่งผลให้พวกเขาเลือกเก็บความทุกข์ไว้ข้างในแทนที่จะพูดออกมา จนกลายเป็นความเครียดสะสม และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลในอนาคต

การยอมรับความรู้สึกด้านลบไม่ได้หมายความว่าเรากำลังจมอยู่กับความทุกข์ แต่มันเป็นการให้เกียรติตัวเองในการรู้สึก และเป็นก้าวแรกในการเยียวยาจิตใจอย่างแท้จริง เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเศร้า เสียใจ หรือรู้สึกท้อถอย และการให้พื้นที่ตัวเองได้อยู่กับอารมณ์เหล่านั้นในระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้เราฟื้นตัวและกลับมาเข้มแข็งได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น

 Toxic Positivity เมื่อความคิดบวกกลายเป็นพิษ

ผลกระทบของความบวกเป็นพิษ

การกดดันอารมณ์: เมื่อเราพยายามซ่อนหรือปฏิเสธอารมณ์ด้านลบ เช่น ความเศร้า ความโกรธ หรือความผิดหวัง อาจดูเหมือนว่าเรากำลังปกป้องตัวเองจากความรู้สึกเจ็บปวด แต่ในความเป็นจริง การกดทับอารมณ์เหล่านี้โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองได้ประมวลผลและยอมรับความรู้สึกตามธรรมชาติ อาจทำให้ความเครียดสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Insights Psychology) เมื่อเวลาผ่านไป ความเครียดที่ไม่ได้รับการจัดการอาจกลายเป็น ภาวะหมดไฟ (Burnout) ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต และห่างไกลจากความสุขที่แท้จริง การให้พื้นที่ตัวเองในการรู้สึก และยอมรับความไม่สมบูรณ์ของชีวิต จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

การขาดความเห็นอกเห็นใจ: เมื่อเราตอบสนองต่อความทุกข์ของผู้อื่นด้วยการเน้นย้ำแต่ด้านบวก เช่น “ไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไป” หรือ “คิดในแง่ดีสิ” โดยไม่รับฟังหรือยอมรับความรู้สึกของพวกเขาอย่างแท้จริง อาจทำให้ผู้ที่กำลังเผชิญปัญหารู้สึกว่าความทุกข์ของพวกเขาไร้ความหมาย และไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริง สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยว (Emotional Isolation) และทำให้พวกเขาไม่กล้าขอความช่วยเหลือในอนาคต เพราะกลัวว่าจะถูกตัดสินหรือไม่ได้รับการยอมรับว่าความเจ็บปวดของตนเองเป็นเรื่องสำคัญ การแสดงความเห็นอกเห็นใจด้วยการรับฟังอย่างแท้จริง และยืนยันความรู้สึกของผู้อื่น (Validation) จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและปลอดภัยทางอารมณ์

การใช้ชีวิตที่ไม่แท้จริง: การพยายามแสดงออกว่า “ฉันสบายดี” หรือ “ชีวิตดีมาก” ตลอดเวลา อาจกลายเป็นกับดักที่ทำให้เราห่างไกลจากความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง การพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ดูแข็งแรงและมีความสุข อาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่าง “ตัวตนภายใน” กับ “ตัวตนภายนอก” จนนำไปสู่ความสับสนและความรู้สึกขัดแย้งในใจ การปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริง หรือพยายามใส่หน้ากากแห่งความสุข อาจทำให้เราเสียการเชื่อมโยงกับตัวเองและหลงลืมว่าการเป็นมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย การอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกทั้งสุขและทุกข์ โดยไม่ตัดสินอารมณ์เหล่านั้น เป็นหนทางสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับตัวเอง และทำให้เราดำเนินชีวิตด้วยความมั่นคงและสมดุลมากยิ่งขึ้น

ทำไมความบวกเป็นพิษถึงยังคงอยู่ในสังคม ?

  1. สื่อสังคมออนไลน์

ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนสามารถแชร์เรื่องราวในชีวิตประจำวันได้เพียงปลายนิ้ว เรามักเห็นแต่ภาพความสำเร็จ รอยยิ้ม และช่วงเวลาที่สวยงามในโซเชียลมีเดีย การนำเสนอแต่ด้านดีเหล่านี้อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าชีวิตที่ดีต้องปราศจากความทุกข์ และกดดันให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวเองต้องมีความสุขอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะกำลังเผชิญกับความยากลำบากก็ตาม เมื่อผู้คนเปรียบเทียบชีวิตจริงของตัวเองกับภาพลวงตาบนหน้าจอ อาจทำให้รู้สึกว่าความทุกข์ของตนเองเป็นเรื่องผิดปกติ หรือรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่ดีพอ” เพราะไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดการปฏิเสธอารมณ์ด้านลบของตัวเอง และพยายามฝืนสร้างความสุขปลอม ๆ เพียงเพื่อตามให้ทันความคาดหวังในโลกออนไลน์

  1. ความกลัวความไม่สบายใจ

หลายคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงหรือกดทับอารมณ์ด้านลบ เช่น ความเศร้า ความโกรธ หรือความกังวล เพราะกลัวว่าการแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านี้จะทำให้ตัวเองหรือคนรอบข้างรู้สึกไม่สบายใจ การแสดงความรู้สึกในด้านลบอาจถูกมองว่าเป็นการ “สร้างปัญหา” หรือทำให้บรรยากาศเสีย จึงไม่แปลกที่หลายคนเลือกจะยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร” แม้ในวันที่หัวใจอ่อนล้า อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงอารมณ์ด้านลบไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกเหล่านั้นหายไป กลับกันมันอาจสะสมและแปรเปลี่ยนเป็นความเครียดหรือความกดดันในใจ การยอมรับว่าความไม่สบายใจเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์ และให้พื้นที่กับตัวเองในการรู้สึกและประมวลผลอารมณ์เหล่านี้อย่างไม่ตัดสิน จึงเป็นก้าวแรกในการดูแลสุขภาพจิตที่แท้จริง

  1. ความคาดหวังทางวัฒนธรรม

ในบางสังคม ความเข้มแข็งและความอดทนถูกยกย่องให้เป็นคุณสมบัติที่ดีของบุคคล ในขณะที่การแสดงออกถึงความอ่อนแอหรือขอความช่วยเหลืออาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความล้มเหลว ทำให้หลายคนเลือกที่จะฝืนยิ้มและพูดในแง่บวก แม้ในวันที่หัวใจเต็มไปด้วยความทุกข์ ความคาดหวังนี้สามารถก่อให้เกิดความบวกเป็นพิษโดยไม่รู้ตัว เพราะผู้คนรู้สึกว่าต้อง “เก็บซ่อน” ความรู้สึกด้านลบเพื่อให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานของสังคม การสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายทางอารมณ์ และเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้คนสามารถพูดถึงความรู้สึกโดยไม่ถูกตัดสิน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบของความบวกเป็นพิษ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีในระยะยาว

วิธีการหลีกเลี่ยงความบวกเป็นพิษ

  1. ยอมรับอารมณ์ทุกด้าน

การยอมรับว่าความรู้สึกทั้งด้านบวกและลบเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์ ช่วยให้เราเชื่อมโยงกับตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น อารมณ์ด้านลบ เช่น ความเศร้า ความโกรธ หรือความกังวล ไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่เป็นสัญญาณที่บอกเราว่ามีบางอย่างในชีวิตต้องการความใส่ใจ การอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกแย่ในบางวันโดยไม่โทษตัวเอง ช่วยให้เราได้สำรวจความรู้สึกเหล่านั้นและเรียนรู้วิธีจัดการกับมันอย่างเหมาะสม การรับรู้และยอมรับอารมณ์โดยไม่ตัดสินตัวเอง จึงเป็นก้าวแรกในการสร้างสุขภาพจิตที่มั่นคงและยั่งยืน

  1. ฝึกความเห็นอกเห็นใจ

ความเห็นอกเห็นใจ (Compassion) เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและจริงใจ เมื่อเพื่อนหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญความยากลำบาก การรับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่รีบแก้ไขหรือปลอบใจด้วยถ้อยคำบวกเกินจริง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล บางครั้งคำพูดง่าย ๆ เช่น “ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกแย่ และฉันอยู่ตรงนี้ถ้าคุณต้องการใครสักคนคุยด้วย” อาจมีพลังมากกว่าคำพูดปลอบใจแบบผิวเผิน เพราะมันแสดงถึงการยอมรับและอยู่เคียงข้างผู้ฟังอย่างแท้จริง การฝึกความเห็นอกเห็นใจไม่ใช่แค่กับผู้อื่น แต่รวมถึงตัวเองด้วย การพูดกับตัวเองด้วยความเมตตาในวันที่ไม่เป็นใจ จะช่วยให้เรากลับมายืนขึ้นได้อย่างเข้มแข็งโดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

  1. สร้างพื้นที่สำหรับการแสดงออก

การสร้างสังคมที่เปิดกว้างต่อการแสดงออกของอารมณ์ทั้งด้านบวกและลบ เป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบของความบวกเป็นพิษ เมื่อผู้คนรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดถึงความทุกข์ ความเครียด หรือความอ่อนแอ โดยไม่กลัวว่าจะถูกตัดสินหรือโดนกดดันให้ “คิดบวก” ตลอดเวลา พวกเขาจะกล้าขอความช่วยเหลือมากขึ้น เราสามารถเริ่มสร้างพื้นที่นี้ได้ในชีวิตประจำวันทด้วยการรับฟังกันอย่างจริงใจ สนับสนุนให้คนรอบตัวกล้าแบ่งปันความรู้สึก และให้ความสำคัญกับสุขภาพใจของตัวเองโดยไม่ปิดกั้นอารมณ์ การมีพื้นที่ที่ผู้คนสามารถเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง เป็นรากฐานของความสุขและความมั่นคงทางจิตใจในระยะยาว

 Toxic Positivity เมื่อความคิดบวกกลายเป็นพิษ

Toxic Positivity อาจดูเหมือนสิ่งเล็กน้อย แต่ในระยะยาวอาจบั่นทอนสุขภาพจิตและทำให้คนรอบตัวรู้สึกโดดเดี่ยว การสร้างสมดุลระหว่างความคิดบวกและการยอมรับอารมณ์ด้านลบเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราเติบโตและเชื่อมโยงกับผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่าลืมว่า การเป็นมนุษย์คือการมีอารมณ์หลากหลาย และทุกความรู้สึกของคุณมีคุณค่าเสมอ หากคุณรู้สึกว่าต้องการใครสักคนรับฟัง Counselling Thailand มีนักจิตบำบัดมืออาชีพที่พร้อมช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอนของการดูแลสุขภาพใจ

เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

ปรึกษาฟรี 15 นาที

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน

รับคำปรึกษาเลย