เทคนิคเอาตัวรอดจาก Toxic People สร้างความสุขในการทำงาน
ในที่ทำงาน เราอาจพบเจอกับบุคคลที่มีลักษณะเป็น “Toxic People” หรือคนที่มีพฤติกรรมที่เป็นพิษ ซึ่งอาจสร้างความกดดันหรือบั่นทอนกำลังใจเราได้ การแสดงออกของพวกเขาอาจมาในรูปแบบของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม คำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ หรือการสร้างบรรยากาศเชิงลบในที่ทำงาน ซึ่งการที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความกดดันหรือความขัดแย้งอยู่เป็นประจำ อาจทำให้เราเกิดความเครียด วิตกกังวล หรือแม้กระทั่งรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อารมณ์เหล่านี้อาจทำให้เราสูญเสียความสุขและประสิทธิภาพในการทำงานได้ ดังนั้น ที่มีลักษณะเป็นพิษจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถรักษาความสมดุลในชีวิตการทำงานและสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทำงานอย่างมีความสุข
Table of Contents
Toxic People คือใคร? ลักษณะและพฤติกรรมที่ต้องระวัง
- การสร้างความขัดแย้ง คนที่มีพฤติกรรมเป็นพิษมักชอบสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือปัญหาภายในที่ทำงาน อาจจะด้วยการใส่ความ หรือพยายามทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างเพื่อนร่วมงาน การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ขาดความสามัคคี แต่ยังทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นความไม่สบายใจและตึงเครียดอีกด้วย
- การบั่นทอนผู้อื่น คนเหล่านี้มักพูดในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่หรือขาดกำลังใจ เช่น พูดจาที่ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง หรือชี้ให้เห็นแต่ข้อผิดพลาดโดยไม่สร้างสรรค์ การบั่นทอนแบบนี้หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและประสิทธิภาพการทำงานของผู้ที่ถูกบั่นทอน
- การควบคุมผู้อื่น บางคนที่มีพฤติกรรมเป็นพิษมักไม่เคารพขอบเขตส่วนตัวของผู้อื่น และพยายามควบคุมหรือแทรกแซงงานของเพื่อนร่วมงานโดยไม่จำเป็น พฤติกรรมนี้อาจทำให้ผู้ที่ถูกแทรกแซงรู้สึกถูกลดความสำคัญหรือไม่เป็นอิสระในการทำงาน และส่งผลต่อบรรยากาศการทำงานที่ควรจะเคารพในขอบเขตของแต่ละคน
ผลกระทบจากการทำงานร่วมกับ Toxic People
การทำงานร่วมกับคนที่มีพฤติกรรมเป็นพิษหรือ “Toxic People” ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในที่ทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายต่อสุขภาพจิตของเรา เมื่อเราต้องเผชิญกับพฤติกรรมเชิงลบหรือการกระทำที่บั่นทอนกำลังใจอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความเครียดที่สะสมขึ้นเรื่อย ๆ ความวิตกกังวล ความกดดันทางอารมณ์ จนกระทั่งเริ่มรู้สึกไม่อยากไปทำงาน หรือมีความรู้สึกหมดไฟในการทำงานอย่างไม่รู้ตัว ผลกระทบนี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังขยายไปยังเพื่อนร่วมงานด้วย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมลดลง เกิดการสื่อสารที่ไม่ราบรื่น และก่อให้เกิดบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดในที่ทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
เช็กสัญญาณความ Toxic เรากำลังเจอสิ่งนี้อยู่หรือเปล่า?
- การถูกแกล้ง หรือโดนกระทำอย่างไม่เหมาะสม เช่น การพูดจาดูถูก เสียดสี หรือล้อเลียนจนเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เรารู้สึกอ่อนแอและหมดกำลังใจไปเรื่อย ๆ
- การถูกตำหนิหรือวิจารณ์อย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งมักจะเกิดขึ้นจากการทำงานกับผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าใจหรือไม่ยุติธรรม สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกผิดกับผลงานของตัวเองแม้จะทำเต็มที่แล้วก็ตาม
- การรู้สึกโดดเดี่ยวแม้จะมีเพื่อนร่วมงานหลายคนอยู่รอบข้างก็เป็นสัญญาณที่บอกว่าบรรยากาศในที่ทำงานไม่เอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี หรืออาจมาจากการถูกกีดกันทางสังคมที่เกิดจากกลุ่มเพื่อนร่วมงานบางกลุ่ม
- การรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานเกินขีดความสามารถหรือเกินขอบเขตของตัวเอง เช่น การทำงานที่ต้องใช้เวลามากเกินไปหรือการรับงานที่เกินขอบเขตความรับผิดชอบ อาจทำให้เกิดความเครียดสะสม การรู้สึกเช่นนี้บ่อย ๆ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเราควรเริ่มหาวิธีรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ หรือหาทางพูดคุยและปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
วิธีรับมือกับความ Toxic ในที่ทำงาน
1. ตั้งขอบเขตที่ชัดเจน
การกำหนดขอบเขตที่แน่นอนในการทำงานเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เรารักษาสุขภาพจิตและลดความเครียดได้ เช่น การตั้งเวลาเลิกงานที่ชัดเจน เพื่อให้ตัวเองได้มีเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกเวลางาน หรือการปฏิเสธงานที่เกินความสามารถหรือเกินขอบเขตความรับผิดชอบของเรา การกำหนดขอบเขตเหล่านี้ยังเป็นการสร้างความเคารพในตัวเอง และแสดงให้เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าเห็นว่าเรารู้จักจัดการเวลาและขีดความสามารถของตัวเอง การทำเช่นนี้ช่วยให้เรามีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น และสามารถโฟกัสที่การทำงานที่สำคัญได้ดีขึ้นโดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการแบกรับภาระเกินไป
2. สร้างการสื่อสารที่ชัดเจน
การสื่อสารที่ดีเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้าใจระหว่างเราและเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดความเข้าใจผิด เสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกในที่ทำงานและลดความขัดแย้งในที่ทำงานได้ การพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาแต่สุภาพเกี่ยวกับความรู้สึกและข้อกังวลของเรา ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อเราพบเจอกับสถานการณ์ที่เป็นพิษ
3. ใช้ทัศนคติเชิงบวก
การมองโลกในแง่บวกไม่เพียงแค่ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยให้เรามองเห็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง แม้ว่าอาจจะมีสถานการณ์ในที่ทำงานที่ไม่เป็นไปตามคาด การมองปัญหาจากมุมที่เป็นบวก เช่น การเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสให้เราได้ฝึกทักษะการจัดการปัญหา การพัฒนาความอดทน หรือเรียนรู้วิธีรับมือกับความเครียด ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่มีค่าและสามารถช่วยเสริมความมั่นใจในการทำงานได้
4. สร้างการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน
การมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นมิตรหรือที่ปรึกษาที่เราไว้ใจได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี การได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือปรึกษาปัญหากับคนที่เข้าใจและยอมรับเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพื่อนร่วมงานอาจช่วยให้เรามองเห็นมุมมองใหม่ ๆ หรือได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ การได้รับกำลังใจจากเพื่อนร่วมงานหรือคนใกล้ชิดทำให้เรามีความพร้อมในการเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
5. หยุดพักเพื่อฟื้นฟูจิตใจ
การรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น การหยุดพักจากงานเป็นระยะ ๆ ช่วยให้สมองและร่างกายได้พักผ่อน การทำกิจกรรมที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย หรือการใช้เวลาสนุกสนานกับคนที่รัก เป็นวิธีฟื้นฟูจิตใจที่ดี การให้เวลากับตัวเองเหล่านี้จะช่วยลดความเครียด ทำให้เรากลับไปทำงานได้อย่างเต็มที่
หากการรับมือกับคนที่มีพฤติกรรมเป็นพิษในที่ทำงานเป็นเรื่องที่ยากเกินไป หรือรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการความเครียดและความวิตกกังวลได้ด้วยตัวเอง การพบกับนักจิตบำบัดเป็นอีกทางเลือกที่สามารถช่วยได้ นักจิตบำบัดจะสามารถให้คำแนะนำและเทคนิคในการจัดการอารมณ์และความรู้สึก รวมถึงช่วยให้เราเรียนรู้วิธีสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ นอกจากนี้ การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจในปัญหาเหล่านี้ยังช่วยเปิดมุมมองใหม่และทำให้เรารู้สึกมีที่พึ่งพิง ช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดียิ่งขึ้น