เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน

รับคำปรึกษาเลย

 เมื่อรอยยิ้มกลายเป็นหน้ากาก ความทุกข์ในที่ทำงานที่ไม่มีใครกล้าพูด

หลายคนคงคุ้นชินกับภาพของพนักงานที่ยิ้มแย้มแจ่มใสในที่ประชุม แม้จะเหน็ดเหนื่อยหรือเครียดแค่ไหนก็ยังฝืนยิ้ม พูดว่า “ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ” ทั้งที่ภายในใจอาจกำลังเผชิญกับความรู้สึกที่่ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็น ความกดดัน หรือความวิตกกังวลอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีโอกาสได้พูดถึงหรือแสดงออกได้เลย

วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความรู้สึก หรือไม่มีพื้นที่ปลอดภัยในการสื่อสารความทุกข์ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เพราะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกตลอดเวลาที่อาจนำไปสู่ภาวะเครียดสะสม ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ หรือแม้แต่ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) 

บทความนี้จะพาคุณไปดูปัจจัยทางวัฒนธรรมในองค์กรที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการเน้นภาพลักษณ์ “ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา”, การไม่ยอมรับความอ่อนแอของมนุษย์ หรือการละเลยความสำคัญของการดูแลใจในที่ทำงาน พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และเปิดพื้นที่ให้พนักงานสามารถพูดถึงความรู้สึกของตัวเองได้อย่างปลอดภัย

เมื่อรอยยิ้มกลายเป็นหน้ากาก ความทุกข์ในที่ทำงานที่ไม่มีใครกล้าพูด

วัฒนธรรม “บวกเท่านั้น” ในองค์กร

หลายองค์กรปัจจุบันมีการส่งเสริมให้พนักงานคิดบวกอยู่เสมอ ซึ่งแม้จะมีเจตนาดีในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ราบรื่น แต่เมื่อแนวคิดนี้ถูกผลักดันอย่างสุดโต่ง กลับกลายเป็นการกดทับอารมณ์ด้านลบโดยไม่รู้ตัว พนักงานจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ์รู้สึกแย่ หรือแสดงออกถึงความเครียด ความไม่พอใจ หรือความเหนื่อยล้า เพราะเกรงว่าจะถูกมองว่า “ไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร” หรือ “ไม่แข็งแกร่งพอ”

คำพูดปลอบใจอย่าง “อย่าคิดมากเลย”, “สู้ ๆ นะ”, หรือ “ต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้” กลายเป็นคำพูดที่ฟังดูดีแต่ขาดความเข้าใจต่อความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย ในขณะที่บางคนอาจแค่ต้องการพื้นที่ปลอดภัยในการระบาย หรือมีใครสักคนที่รับฟังโดยไม่ตัดสิน กลับถูกกระตุ้นให้เก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้แทน

พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของวัฒนธรรม “บวกเท่านั้น” ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ และเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะเครียดสะสมหรือหมดไฟจากการทำงานได้อย่างไม่รู้ตัว

ความกลัวที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้ม

ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ขาดพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา พนักงานจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง พวกเขายิ้มในที่ประชุม พูดตามบทบาทหน้าที่ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความเครียด ความสับสน และความไม่มั่นคง ความเงียบไม่ได้แปลว่าไม่มีปัญหา แต่มักเป็นผลของ “ความกลัว” ที่ฝังอยู่ภายใน

บางคนกลัวว่าจะถูกมองว่าอ่อนแอ ถ้าเอ่ยปากบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว” หรือ “รู้สึกเหนื่อยมาก” ก็อาจเสี่ยงที่จะถูกมองว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพ หรือไม่เหมาะกับตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับ บางคนกลัวว่าการพูดถึงปัญหาของตนเองอาจถูกนำไปตีความในแง่ลบ จนส่งผลต่อการประเมินผลงาน หรือโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพ

ด้วยเหตุนี้ ความเงียบจึงกลายเป็นเกราะป้องกันที่หลายคนเลือกใช้ ทั้งที่มันคือกับดักทางใจที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองในระยะยาว เมื่อไม่ได้รับการปลดปล่อย ความเครียดก็สะสมกลายเป็นความอึดอัด ความเบื่อหน่าย หรือแม้กระทั่งความรู้สึกสิ้นหวังโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่องค์กรอาจมองข้าม คือการสร้างวัฒนธรรมที่เปิดรับความรู้สึก และมองการพูดถึงปัญหาเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลกัน มากกว่าจะเป็นความอ่อนแอ

เมื่อองค์กรไม่มีพื้นที่ให้พักใจ

แม้หลายองค์กรจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและผลลัพธ์ในการทำงาน แต่กลับละเลยสิ่งสำคัญอย่าง “สุขภาพจิตของพนักงาน” ที่เป็นพื้นฐานของการทำงานอย่างยั่งยืน หลายที่ยังขาดระบบสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม เช่น การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาโดยผู้เชี่ยวชาญ การจัดอบรมด้านการจัดการความเครียด หรือแม้แต่การเปิดโอกาสให้มี “Mental Health Day” หรือวันที่พนักงานสามารถขอพักใจได้โดยไม่รู้สึกผิดหรือกลัวผลกระทบต่อการประเมินงาน

ในความเป็นจริง พนักงานจำนวนมากกำลังเผชิญกับภาวะเครียดสะสม เหนื่อยล้า หรือหมดไฟ แต่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกนั้นอย่างโดดเดี่ยว แม้จะมี HR หรือฝ่ายบุคคลอยู่ แต่หากระบบยังขาดความเข้าใจเรื่องจิตใจ หรือไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการดูแลคน ความไม่ไว้วางใจต่อองค์กรก็จะก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ

บรรยากาศที่พนักงานรู้สึกว่า “พูดไปก็ไม่มีประโยชน์” หรือ “พูดไปอาจกลายเป็นปัญหา” ทำให้ไม่มีใครกล้าเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง ส่งผลให้ปัญหาถูกเก็บไว้และกลายเป็นรอยร้าวที่มองไม่เห็นในวัฒนธรรมองค์กร การไม่มีพื้นที่ให้พักใจ ไม่ใช่เพียงแค่การขาดวันหยุด แต่คือการขาดความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของพนักงาน และอาจนำไปสู่การสูญเสียคนเก่งที่หมดแรงก่อนถึงเส้นชัย

ผลกระทบระยะยาว

การที่องค์กรไม่มีพื้นที่ให้พนักงานได้พูดถึงความรู้สึกหรือความทุกข์อย่างตรงไปตรงมา อาจดูเป็นเรื่องเล็กในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กรโดยรวม ความรู้สึกกดดันที่สะสมอยู่ภายในอาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากการทำงานหนักเท่านั้น แต่เกิดจากการที่พนักงานรู้สึกว่า “ไม่มีใครเห็นคุณค่า” หรือ “ไม่มีใครฟังจริง ๆ” เมื่อรู้สึกเช่นนั้นต่อเนื่อง ความท้อแท้ก็จะเข้ามาแทนที่แรงบันดาลใจ

นอกจากผลกระทบต่อตัวบุคคลแล้ว บรรยากาศในทีมก็อาจเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานเริ่มลดระดับความจริงใจลง เพราะต่างคนต่างไม่กล้าเปิดใจ ต่างเก็บอารมณ์ไว้ใต้หน้ากากแห่งความเป็นมืออาชีพ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก หรือแม้กระทั่งแข่งขันกันอย่างเงียบ ๆ แทนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงใจ

ท้ายที่สุด พนักงานที่มีศักยภาพสูง ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ใส่ใจความรู้สึกและแสวงหาความหมายในการทำงาน อาจเลือกเดินจากไปเมื่อรู้สึกว่าองค์กรไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้ลาออกเพราะทำงานไม่ไหว แต่ลาออกเพราะ “ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง” และ “ไม่รู้สึกว่าถูกรับฟัง” ซึ่งเป็นความสูญเสียที่หลายองค์กรอาจไม่รู้ตัวจนสายเกินไป

เมื่อรอยยิ้มกลายเป็นหน้ากาก ความทุกข์ในที่ทำงานที่ไม่มีใครกล้าพูด

วิธีสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจสุขภาพจิต

  • สนับสนุนให้หัวหน้าทีมเรียนรู้ทักษะการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)

 หัวหน้าทีมหรือผู้บริหารควรได้รับการอบรมให้เข้าใจหลักของการฟังอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่ฟังเพื่อ “ตอบกลับ” แต่ฟังเพื่อ “เข้าใจ” ความรู้สึกของทีมงานอย่างแท้จริง การรับฟังโดยไม่ตัดสินหรือรีบแก้ปัญหาในทันที จะทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยและกล้าเปิดใจมากขึ้น

  • สร้างพื้นที่ปลอดภัย เช่น เช็กอินอารมณ์ก่อนเริ่มประชุ


    การเริ่มประชุมด้วยการเช็กอินอารมณ์ หรือให้ทุกคนแชร์สิ่งที่รู้สึกในตอนนั้น เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ทรงพลัง ที่ช่วยให้ทีมรู้ว่าความรู้สึกของแต่ละคนมีคุณค่า และเป็นเรื่องที่พูดถึงได้โดยไม่ถูกมองแปลกแยก เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง และส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจในทีม


  • จัดอบรมให้พนักงานเข้าใจสุขภาพจิตและเห็นความสำคัญของการพูดคุยอย่างไม่ตัดสิน


การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพจิต เช่น ความแตกต่างระหว่างความเครียดกับภาวะซึมเศร้า หรือวิธีรับมือกับอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น จะช่วยให้พนักงานไม่กลัวที่จะพูดถึงความรู้สึก และไม่รีบตัดสินกันด้วยทัศนคติเดิม ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการสื่อสารที่มีคุณภาพในระยะยาว

  • จัดสรรเวลาให้พนักงานได้มีวันพักใจ เช่น Mental Health Day เดือนละครั้ง

การอนุญาตให้พนักงานมีวันพักใจอย่างเป็นทางการ เป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจขององค์กรที่ไม่เพียงแต่พูด แต่ลงมือทำจริง วันเหล่านี้ไม่ใช่แค่วันหยุด แต่เป็นโอกาสให้พนักงานได้ทบทวน ดูแลใจตัวเอง หรือพักจากแรงกดดันโดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือต้องมีเหตุผลที่ “ดูน่าเชื่อถือ” เสมอไป

ในทุกวันทำงาน เราอาจเห็นเพื่อนร่วมงานยิ้มแย้ม หรือพูดว่า “ไม่เป็นไร” อยู่เสมอ แต่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น อาจซ่อนความเครียด ความเหนื่อยล้า หรือแม้กระทั่งความทุกข์ที่ไม่กล้าพูดออกมา เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่าอ่อนแอ หรือไม่มืออาชีพ

องค์กรที่ใส่ใจสุขภาพจิต  คือองค์กรที่กล้าเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้พูดถึงความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ โดยไม่ถูกตัดสิน ไม่ต้องรู้สึกผิด และไม่ต้องกลัวว่าจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า เพราะเมื่อใจของพนักงานมีพื้นที่ให้ได้พัก พูด และฟังอย่างเข้าใจ ความผูกพันต่อองค์กรจะเพิ่มขึ้น และพลังในการทำงานจะกลับมาอย่างยั่งยืน

ที่ Counselling Thailand  เชื่อว่าความเป็นอยู่ทางใจของพนักงานคือรากฐานสำคัญของการเติบโตในระยะยาวของทุกองค์กร เราพร้อมสนับสนุนด้วยบริการให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาสำหรับองค์กร (Corporate Counselling Program) อบรมทักษะการฟังอย่างตั้งใจสำหรับหัวหน้างาน ไปจนถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง เข้าใจ และเห็นคุณค่าของความรู้สึกของมนุษย์ในที่ทำงาน

เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

ปรึกษาฟรี 15 นาที

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน

รับคำปรึกษาเลย