โทรศัพท์:0910713531  Whatsapp:+66910713531  อีเมล:info@counsellingthailand.co.th    วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 20.00 น.

เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน

5 วิธีรับมืออย่างไร เมื่อคุณบังเอิญเห็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย

โดย Counselling Thailand | ก.ย. 28, 2025

เหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากพบเจอและสร้างบาดแผลทางใจได้อย่างลึกซึ้ง คือการที่เราต้องกลายเป็น “ผู้เห็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย” โดยไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่สาธารณะ ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในชุมชนใกล้บ้าน เหตุการณ์เช่นนี้สามารถสร้างความสะเทือนใจอย่างรุนแรง เพราะมนุษย์ไม่เคยพร้อมจะเผชิญกับความสูญเสียในรูปแบบที่กระทันหันและรุนแรงเช่นนี้

ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทิ้ง ร่องรอยทางจิตใจที่ลึกและยาวนาน หลายคนอาจรู้สึกตกใจอย่างรุนแรงในช่วงแรก ตามมาด้วยความกลัว ภาพเหตุการณ์ที่ย้อนกลับมาในความคิดอยู่ซ้ำ ๆ หรือแม้กระทั่งความเศร้าโศกอย่างท่วมท้นโดยไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงรู้สึกเช่นนั้น บางคนอาจเกิดความรู้สึกผิด ทั้งที่เหตุการณ์นั้นไม่ใช่ความผิดของตน เช่น “ถ้าฉันช่วยเร็วกว่านี้ เขาอาจไม่จากไป” ความคิดเหล่านี้สามารถกัดกินใจและทำให้รู้สึกหมดเรี่ยวแรงได้

นอกจากผลทางอารมณ์แล้ว ผู้เห็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตายยังมี ความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) ซึ่งมักปรากฏในรูปแบบของอาการนอนไม่หลับ ฝันร้าย สะดุ้งง่าย หลีกเลี่ยงสถานที่หรือสิ่งที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น หรือรู้สึกชาและไม่อยากเข้าสังคม หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการดูแล ภาวะนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และสุขภาพจิตโดยรวม

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเข้าใจว่า “ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ผิด และไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ” ร่างกายและสมองของเรากำลังตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกินกว่าความสามารถในการรับมือของมนุษย์ทั่วไป การยอมรับว่าคุณได้รับผลกระทบคือก้าวแรกของการเยียวยา

หากคุณรู้สึกว่าความทรงจำหรือความกลัวเริ่มส่งผลต่อชีวิตประจำวัน การขอรับ การช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดหรือนักจิตวิทยา จะช่วยให้คุณค่อย ๆ ทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์อย่างปลอดภัย การพูดคุย การได้รับการรับฟังอย่างไม่ตัดสิน และการฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ หรือการทำสมาธิ อาจช่วยลดความเครียดได้เช่นกัน

แม้คุณจะไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขเหตุการณ์ได้ แต่คุณสามารถ ดูแลจิตใจของตัวเองให้ฟื้นคืนได้อย่างเข้มแข็ง การให้เวลา การรับฟังตัวเอง และการขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น คือหนทางสู่การเยียวยาที่แท้จริง เพราะการรอดพ้นจากเหตุการณ์สะเทือนใจ ไม่ได้หมายถึงการ “ลืม” แต่คือการเรียนรู้ที่จะ “อยู่ร่วมกับความทรงจำนั้นได้โดยไม่เจ็บปวดอีกต่อไป”

ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

เมื่อคุณต้องเผชิญกับเหตุการณ์ฆ่าตัวตายที่สร้างความช็อกทางจิตใจอย่างรุนแรงเช่นนี้ สิ่งแรกที่เป็นรากฐานสำคัญและสำคัญที่สุดคือการยอมรับความรู้สึกของตัวเองอย่างแท้จริงอย่างไม่ปิดบัง ในช่วงเวลาแรก ๆ หลังเกิดเหตุการณ์ คุณอาจกำลังเผชิญกับอารมณ์ที่หลากหลายและรุนแรงผสมปนเปกันไป ไม่ว่าจะเป็น ความตกใจอย่างรุนแรงจนร่างกายชา, ความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง, ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่แน่นอน, หรือแม้กระทั่งความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีส่วนในการกระทำก็ตาม

นี่คือช่วงเวลาที่คุณไม่ควรพยายามกดทับหรือปฏิเสธอารมณ์เหล่านี้โดยเด็ดขาด การพยายามทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไร หรือการเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้ภายในเป็นเวลานาน เปรียบเสมือนการสร้างระเบิดเวลาทางอารมณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาที่ซับซ้อนกว่าในอนาคต เช่น ความเครียดสะสมเรื้อรัง และการพัฒนาไปสู่ภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้าที่รุนแรงขึ้น

ต้องเข้าใจว่า การยอมรับความรู้สึกไม่ได้หมายความว่าคุณต้องตัดสินหรือโทษตัวเองสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันคือการให้สิทธิ์และให้พื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับอารมณ์ของคุณเองได้แสดงออกมาอย่างอิสระ การทำเช่นนี้เป็นการยืนยันความรู้สึกของคุณ และเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเยียวยาจากภายใน

คุณสามารถเริ่มต้นการยอมรับนี้ได้ด้วยการฝึกฝนง่าย ๆ เช่น

การบันทึก: ลองบันทึกความคิดและความรู้สึกลงในสมุดบันทึกอย่างอิสระ การเขียนช่วยให้คุณได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นและจัดระเบียบความคิดที่สับสนวุ่นวาย

การสนทนาภายใน: ลองพูดคุยกับตัวเองด้วยความเข้าใจและเมตตาเสมือนกำลังปลอบโยนเพื่อนสนิทที่เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา การให้ความเห็นอกเห็นใจต่อตนเองเป็นกุญแจสำคัญในการลดความรุนแรงของอารมณ์

การปฏิบัติแบบนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้จิตใจของคุณเริ่ม กระบวนการเยียวยาจากภายใน ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คุณสามารถก้าวผ่านความรู้สึกยากลำบากเหล่านี้ไปได้อย่างมั่นคง

พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้

เมื่อต้องรับมือกับความรู้สึกที่ท่วมท้นจากการเป็นพยานในเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย การพึ่งพาและระบายความรู้สึกกับ คนที่คุณไว้ใจ จึงเป็นรากฐานสำคัญของการเยียวยาทางจิตใจ บุคคลเหล่านั้นอาจเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิทที่เข้าใจคุณอย่างลึกซึ้ง หรือคนใกล้ตัวที่คุณรู้สึกว่าปลอดภัยที่จะเปิดเผยความอ่อนแอ การเลือกที่จะ เปิดใจพูดคุย ไม่ใช่แค่การระบายอารมณ์ออกไปเท่านั้น แต่คือการปลดเปลื้อง ความตึงเครียดทางอารมณ์ ที่แบกรับไว้ออกไปจากจิตใจ

การพูดคุยอย่างเปิดเผยกับคนที่ห่วงใยคุณมีประโยชน์มากมาย ประการแรก มันช่วยให้คุณไม่รู้สึก โดดเดี่ยว ในความทุกข์ระทมนั้น ความรู้สึกที่คุณเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความตกใจ ความรู้สึกผิด หรือความโกรธ คือประสบการณ์ร่วมของมนุษย์ และการที่มีใครสักคนรับฟังโดยไม่ตัดสิน จะช่วยยืนยันความรู้สึกของคุณได้ ประการที่สอง การสนทนาสามารถช่วยให้คุณได้รับ มุมมองอื่น ๆ ที่เป็นกลางมากขึ้นจากภายนอก ซึ่งมุมมองเหล่านี้อาจช่วยเปลี่ยนวิธีที่คุณมองเหตุการณ์ หรือช่วยให้คุณจัดการกับความรู้สึกที่ซับซ้อนภายในใจได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ การพูดคุยที่จริงใจเป็นเหมือนการฉายไฟส่องทางให้คุณเห็นทางออกในขณะที่คุณกำลังรู้สึกมืดมิด

นอกเหนือจากการพูดคุยกับเครือข่ายสังคมที่ใกล้ชิดแล้ว การค้นหาช่องทางอื่น ๆ ที่เป็นระบบมากขึ้นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน สำหรับผู้ที่เคยประสบเหตุการณ์ที่คล้ายกันถือเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟู กลุ่มสนับสนุนเป็นเหมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คุณได้พบปะกับผู้คนที่ไม่เพียงแต่ “เข้าใจ” แต่ “เคยผ่าน” ประสบการณ์เดียวกันมาแล้ว

ในกลุ่มสนับสนุน คุณจะได้สัมผัสกับความรู้สึกว่า ความรู้สึกของคุณเป็นเรื่องปกติ (Validation) อารมณ์ที่รุนแรงและปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดบางอย่างที่คุณคิดว่ามีแค่คุณเท่านั้นที่เป็น ก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยา การได้เห็นผู้อื่นที่เคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายและสามารถก้าวเดินต่อไปได้ เป็นการสร้าง ความหวัง และแรงบันดาลใจอันทรงพลัง นอกจากนี้ คุณยังสามารถ เรียนรู้วิธีรับมือ (Coping Strategies) และเทคนิคการจัดการอารมณ์จากผู้อื่นที่ใช้ได้ผลจริง ซึ่งประสบการณ์ตรงเหล่านี้มีค่ามากกว่าคำแนะนำใด ๆ จากตำรา

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเลือกผู้รับฟังที่เป็น ผู้ฟังที่ดีและมีความเห็นอกเห็นใจสูง หลีกเลี่ยงการเปิดเผยกับคนที่อาจจะตัดสิน กล่าวโทษ หรือทำให้คุณรู้สึกผิดมากขึ้น เพราะนั่นจะยิ่งเป็นอันตรายต่อกระบวนการเยียวยาของคุณ หากความรู้สึกของคุณยังคงรุนแรงเกินกว่าจะจัดการได้ด้วยการพูดคุยปกติ หรือมีอาการที่บ่งชี้ถึงภาวะเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น นักจิตวิทยา หรือนักจิตบำบัด ถือเป็นสิ่งจำเป็น

ผู้เชี่ยวชาญมีเครื่องมือและเทคนิคเฉพาะทางที่ช่วยให้คุณประมวลผลเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนจากทั้งเครือข่ายส่วนตัว กลุ่มสนับสนุน และผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยสร้างเกราะป้องกันทางจิตใจที่แข็งแกร่ง ทำให้คุณสามารถกลับมาควบคุมชีวิตและฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน การเดินทางสู่การเยียวยาไม่ควรเป็นเส้นทางที่คุณต้องเดินคนเดียว

รับมืออย่างไร เมื่อคุณบังเอิญเห็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย

ดูแลร่างกายและจิตใจ

สิ่งแรกและสำคัญที่สุดที่ควรทำ “ก่อนจะเริ่มเยียวยาทางจิตใจ” คือการหันมาใส่ใจ สุขภาพกายของตนเอง เพราะร่างกายและจิตใจมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง (Mind–Body Connection) เมื่อร่างกายยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ เหนื่อยล้า หรือเกร็งเครียด ระบบประสาทของเราจะยังคงอยู่ใน “โหมดระวังภัย” ทำให้จิตใจไม่สามารถผ่อนคลายหรือเยียวยาตัวเองได้อย่างแท้จริง

การดูแลสุขภาพกายจึงเป็นเหมือนการวางรากฐานให้จิตใจได้พัก และกลับมามีพลังอีกครั้ง เพราะเมื่อร่างกายเริ่มฟื้นตัว ระบบสมอง ฮอร์โมน และอารมณ์จะค่อย ๆ กลับเข้าสู่สมดุล เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเยียวยาที่แท้จริง

  1. การพักผ่อนและหล่อเลี้ยงร่างกาย (The Physical Foundation)

การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สมองของเราจะใช้ช่วงเวลานอนในการ “ประมวลผล” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจัดระเบียบความทรงจำที่หนักอึ้งให้เข้าที่เข้าทาง หากคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองจะยังคงอยู่ในโหมด “สู้หรือหนี” (Fight or Flight) ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกตื่นตัวเกินไป วิตกกังวลง่าย และอารมณ์แปรปรวน

เคล็ดลับ:

พยายามเข้านอนและตื่นในเวลาเดิมทุกวัน

หลีกเลี่ยงแสงจากหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

ใช้เสียงเพลงเบา ๆ หรือกลิ่นหอมอ่อน ๆ ช่วยผ่อนคลาย

นอกจากการนอน การรับประทานอาหารก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและช่วยปรับสมดุลของระบบประสาท เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียว ปลา และถั่ว เพราะอาหารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความสงบ เช่น เซโรโทนิน (Serotonin)

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาเฟอีนมากเกินไป เพราะอาจทำให้ระดับพลังงานและอารมณ์สวิงได้ง่าย

  1. การเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน (Gentle Movement & Grounding)

การออกกำลังกายไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ แต่เพื่อ “ปลดปล่อยพลังงานทางอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในร่างกาย” การเคลื่อนไหวเบา ๆ เช่น การเดินช้า ๆ การยืดเหยียด หรือโยคะอ่อน ๆ จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขตามธรรมชาติ และช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol)

กิจกรรมเหล่านี้ยังช่วยให้เรากลับมาเชื่อมโยงกับ “ปัจจุบันขณะ” มากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรักษาใจอย่างแท้จริง

ลองฝึกเทคนิค “Grounding” เช่น

เดินเท้าเปล่าสัมผัสดินหรือพื้นหญ้า

สังเกตรายละเอียดรอบตัว เช่น เสียงลม กลิ่นอากาศ หรือแสงแดด
สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้จะช่วยให้สมองรับรู้ว่า “ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” และค่อย ๆ ลดระดับความตึงเครียดในร่างกายลง

  1. การเยียวยาผ่านกิจกรรมที่รัก (The Emotional Retreat)

นอกจากการดูแลร่างกายแล้ว การหันมาทำสิ่งที่คุณรักก็เปรียบเสมือน การบำบัดทางใจอย่างอ่อนโยน กิจกรรมเล็ก ๆ ที่ทำให้รู้สึกสงบ เช่น ฟังเพลงที่ชอบ อ่านหนังสือ ทำอาหาร หรือปลูกต้นไม้ ล้วนช่วยให้จิตใจได้พักจากความคิดหนัก ๆ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง

การทำสิ่งที่คุณรักคือการส่งข้อความถึงหัวใจว่า

“ฉันยังคงมีชีวิตอยู่ และยังมีสิ่งดี ๆ ที่ควรอยู่ต่อเพื่อสัมผัส”

นอกจากนี้ การให้เวลากับงานอดิเรกหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ ยังช่วยให้สมองได้หลั่งสารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจและความรู้สึกพึงพอใจ เป็นพลังเล็ก ๆ ที่ช่วยพาคุณกลับมาเชื่อมต่อกับความสุขอีกครั้ง

  1. การสร้างสมดุลระหว่างกายและใจ

การดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน — ทั้งการนอน การกิน การเคลื่อนไหว และการพักผ่อนทางอารมณ์ — คือ การลงทุนระยะยาวเพื่อสุขภาพจิตของคุณเอง เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง สมองจะมีพลังในการประมวลและจัดการกับอารมณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

คุณอาจยังไม่พร้อมจะ “ลืม” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที แต่การค่อย ๆ ดูแลตัวเองอย่างอ่อนโยนในแต่ละวัน จะช่วยให้คุณค่อย ๆ ฟื้นตัว และกลับมารู้สึกมั่นคงได้อีกครั้ง

หลีกเลี่ยงการเสพข่าวหรือข้อมูลซ้ำ

หนึ่งในพฤติกรรมที่ควร หลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง หลังจากผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจ คือการเปิดรับ เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง อยู่ตลอดเวลา เพราะการทำเช่นนั้นเปรียบเสมือน “การเปิดบาดแผลทางใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า” โดยไม่รู้ตัว ทำให้สมองและจิตใจไม่มีโอกาสได้พักฟื้น กระบวนการเยียวยาถูกขัดจังหวะ และความรู้สึกวิตกกังวลหรือเศร้าอาจลึกลงเรื่อย ๆ อย่างไม่จำเป็น

แม้คุณอาจรู้สึกว่าการติดตามข่าวหรือเรื่องราวคล้ายกันเป็นวิธีทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในทางจิตวิทยา การรับข้อมูลเชิงลบซ้ำ ๆ จะทำให้ระบบประสาท อยู่ในภาวะตื่นตัวตลอดเวลา ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างอะดรีนาลีนและคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ การนอนหลับ และสมาธิ

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การอนุญาตให้ตัวเองพัก” พักจากข่าว พักจากสื่อ และพักจากภาพจำที่ทำให้หัวใจสั่นไหว เพื่อให้จิตใจได้ฟื้นตัวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ถูกรบกวนจากข้อมูลใหม่ ๆ ที่รุนแรง

จิตใจของคุณเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ต้องใช้พลังในการรับมืออย่างหนัก ระบบประสาทยังคงทำงานเพื่อประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นและหาทางกลับสู่สมดุล การเว้นระยะห่างจาก หน้าจอโทรศัพท์ โทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์ เป็นระยะ ๆ จะช่วยให้สมองได้ “เวลาสงบ” เพื่อจัดการกับข้อมูลเดิมโดยไม่ถูกซ้ำเติมจากข้อมูลใหม่ที่กระตุ้นความรู้สึก

ช่วงเวลาที่คุณตัดการเชื่อมต่อจากสื่อดิจิทัล ไม่ได้หมายถึงการหนีปัญหา แต่คือการ ให้พื้นที่ปลอดภัยแก่สมองและหัวใจ เพื่อเยียวยาอย่างเป็นธรรมชาติ การพักผ่อนทางจิตใจเช่นนี้สามารถป้องกัน ภาวะเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) และช่วยให้คุณเริ่มมองเห็นความจริงในปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้น แยกออกจากภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เคยสร้างความเจ็บปวด

หากคุณยังจำเป็นต้องติดตามข่าวสาร เพื่อรับรู้ความเป็นไปของโลกในระดับที่พอดี ให้ใช้ “กลยุทธ์จำกัด” อย่างมีวินัย เพื่อไม่ให้สื่อกลายเป็นแหล่งกระตุ้นความเครียดโดยไม่รู้ตัว

  1. เลือกแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้

เน้นอ่านหรือรับชมจากสำนักข่าวที่มีจรรยาบรรณและเน้นข้อเท็จจริง หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ใช้ภาษารุนแรง ภาพที่กระตุ้นอารมณ์ หรือคลิปที่แสดงเหตุการณ์ละเอียดเกินจำเป็น เพราะเนื้อหาเหล่านั้นจะไปกระตุ้นระบบประสาทให้ “ย้อนจำภาพ” ได้ง่ายขึ้น ทำให้บาดแผลทางใจหายช้ากว่าเดิม

  1. กำหนดเวลาในการเสพข่าวอย่างชัดเจน

ลองกำหนดเวลา เช่น ตรวจสอบข่าวเพียงวันละครั้ง — อาจเลือกตอนเช้าหรือเย็น และใช้เวลาไม่เกิน 10–15 นาทีเท่านั้น หลีกเลี่ยงการดูข่าวก่อนนอน เพราะสมองจะนำภาพเหล่านั้นไปประมวลในระหว่างหลับ ซึ่งอาจทำให้เกิดฝันร้ายและนอนหลับไม่สนิท

  1. แทนที่ด้วยกิจกรรมผ่อนคลาย

เมื่อคุณลดเวลาหน้าจอแล้ว ให้ใช้เวลาที่ได้คืนมาทำสิ่งที่ช่วยให้จิตใจได้พักจริง ๆ เช่น เดินเล่นหรือออกกำลังกายเบา ๆ, ฟังเพลงที่ช่วยให้รู้สึกสงบ

และ วาดภาพ เขียนบันทึก หรือปลูกต้นไม้ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้สมองเข้าสู่ “ภาวะจดจ่ออย่างสงบ” (Flow State) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายพร้อมกันอย่างลึกซึ้ง

การจำกัดการเสพสื่อไม่ได้หมายถึงการหลีกหนีโลกภายนอก แต่คือการ เลือกปกป้องตัวเองด้วยสติและความรับผิดชอบต่อหัวใจของตัวเอง
เมื่อคุณเริ่มจัดการสิ่งที่รับเข้ามาในชีวิตได้อย่างมีวินัย จิตใจจะค่อย ๆ กลับมาสงบ สมองจะมีพื้นที่ให้ฟื้นฟู และคุณจะรู้สึกว่าตัวเองควบคุมชีวิตได้อีกครั้ง

สังเกตสัญญาณของความเครียดรุนแรง

หลังจากที่คุณได้เห็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย อาจมีอาการทางจิตใจและพฤติกรรมหลายอย่างที่ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจิตใจของคุณได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและกำลังพยายามประมวลผลเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญนั้น การตระหนักรู้ถึงอาการเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้คุณสามารถประเมินและขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เพราะการละเลยสัญญาณเตือนเหล่านี้อาจทำให้ความเครียดพัฒนาไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD)


อาการที่พบบ่อยเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายที่พยายามปกป้องตนเอง แต่หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปเอง คุณควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

1. ปัญหาการนอนหลับและฝันร้าย: คุณอาจเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ (Insomnia) อย่างต่อเนื่อง หรือตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง รวมถึงการเผชิญกับฝันร้ายซ้ำ ๆ หรือฝันเห็นภาพเหตุการณ์นั้นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าสมองกำลังประมวลความทรงจำที่เจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

2. อารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรง: คุณอาจรู้สึกวิตกกังวลหรือหดหู่เกินปกติ เช่น ร้องไห้บ่อยครั้ง รู้สึกว่างเปล่า ไม่มีชีวิตชีวา หรือรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีสาเหตุ หรืออาจมีอาการหงุดหงิด โกรธง่าย ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการที่ระบบประสาทถูกกระตุ้นมากเกินไป

3. ความรู้สึกผิดและการตำหนิตนเอง: เป็นเรื่องปกติที่จะมีความรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบหรือรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริงคุณอาจไม่สามารถทำอะไรได้เลยก็ตาม ความรู้สึกผิดที่ไม่สมเหตุสมผลนี้สามารถบั่นทอนความมั่นใจในตนเองอย่างมาก

4. การหลีกเลี่ยงที่เพิ่มขึ้น: คุณอาจพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ บุคคล หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อย่างจริงจัง เช่น การเปลี่ยนเส้นทางเดิน หรือไม่ดูภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน เพื่อลดการกระตุ้นความทรงจำที่เจ็บปวด ซึ่งการหลีกเลี่ยงนี้ยิ่งทำให้โลกของคุณแคบลง

5. การสูญเสียความสนใจและความเบื่อหน่าย: คุณอาจเริ่มสูญเสียความสนใจในงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่คุณเคยชื่นชอบ หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถมีความสุขกับสิ่งใดได้อีก ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะซึมเศร้าที่กำลังพัฒนา

รับมืออย่างไร เมื่อคุณบังเอิญเห็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย

ปรึกษานักจิตบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญ

การฟื้นตัวจากเหตุการณ์ที่สะเทือนใจจำเป็นต้องใช้เวลา และเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งที่คุณจะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่กลับมาเป็นปกติได้ในทันที แต่หากคุณได้พยายามดูแลตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว ทั้งการพักผ่อน การพูดคุยกับคนใกล้ชิด และการทำกิจกรรมผ่อนคลายต่าง ๆ แต่ยังคงรู้สึกไม่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือมีอาการเครียดสะสมที่ไม่ลดลง แม้เวลาจะผ่านไปหลายสัปดาห์ นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณต้องการการสนับสนุนที่เข้มข้นขึ้น

การตระหนักว่าคุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมและพร้อมที่จะเอื้อมมือออกไปขอความช่วยเหลือ ถือเป็นความกล้าหาญที่สำคัญที่สุดในการเดินทางของการเยียวยา ณ จุดนี้ การตัดสินใจปรึกษานักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย แต่เป็น วิธีที่ปลอดภัยและได้ผลที่สุด ในการเริ่มต้นกระบวนการเยียวยาอย่างเป็นระบบและมีทิศทาง

การขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด และเป็นการให้โอกาสตัวเองได้เข้าสู่กระบวนการบำบัดที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อจัดการกับบาดแผลทางใจโดยเฉพาะ นักจิตบำบัดจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำที่คอยช่วยเหลืออย่างเป็นกลางและไม่ตัดสิน พวกเขาไม่ได้มาบอกว่าคุณควรทำอะไร แต่จะช่วยให้คุณ

1.ทำความเข้าใจความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง: ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงและประมวลผลความรู้สึกที่ซับซ้อนได้อย่างปลอดภั

2.รับมือกับความเจ็บปวดที่ฝังอยู่: ช่วยคุณรับมือกับความเศร้าและความผิดหวัง รวมถึงความรู้สึกผิดที่ฝังอยู่ภายในใจ

3.เรียนรู้วิธีจัดการความเครียด: พวกเขาจะสอนวิธีจัดการความเครียดที่เกิดจากเหตุการณ์รุนแรงโดยใช้เทคนิคทางจิตวิทยาที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว เช่น การบำบัดด้วยการพูดคุย (Talk Therapy), CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือ EMDR

การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณค่อย ๆ จัดระเบียบความคิดที่กระจัดกระจาย ประมวลผลเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจได้อย่างปลอดภัย และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทรงจำเหล่านั้นโดยที่มันไม่สามารถควบคุมชีวิตของคุณได้อีกต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่การก้าวเดินต่อไปในชีวิตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน การลงทุนในสุขภาพจิตของตนเองตอนนี้คือการสร้างอนาคตที่เข้มแข็งในระยะยาว

Counselling Thailand ให้บริการด้านสุขภาพจิตที่มีทีม นักจิตบำบัดและผู้เชี่ยวชาญ หลายภาษา พร้อมช่วยเหลือคุณทั้งแบบ ออนไลน์ และ พบตัวต่อตัว ไม่ว่าคุณจะอยู่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือที่ไหนก็สามารถรับบริการได้อย่างสะดวก

บริการของ Counselling Thailand เหมาะสำหรับผู้ที่ประสบเหตุการณ์รุนแรงหรือเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย เพราะนักจิตบำบัดสามารถช่วยให้คุณระบายและทำความเข้าใจความรู้สึก ลดความเครียดและอาการวิตกกังวล เรียนรู้เทคนิคการรับมือกับความทรงจำที่เจ็บปวด รวมถึงฟื้นฟูสุขภาพจิตเพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ 


หากคุณกำลังประสบความเครียดหลังเเหตุการณ์ฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากพบเจอ แต่บางครั้งชีวิตอาจพาเราไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเป็นผู้เห็นเหตุการณ์หรืออยู่ในที่เกิดเหตุโดยตรง การประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้อาจสร้าง บาดแผลทางใจ (Psychological Trauma) ที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาวได้มากกว่าที่หลายคนคิดอย่าปล่อยให้ความรู้สึกสะสมจนเกินไป ติดต่อ Counselling Thailand เพื่อรับคำปรึกษาและดูแลจิตใจของคุณอย่างมืออาชีพ

เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

ปรึกษาฟรี 15 นาที

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน