คำชมเชยเป็นวิธีที่ง่ายแต่ทรงพลังในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเองและสร้างบรรยากาศเชิงบวก ไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวัน การได้รับคำชมจากผู้อื่นสามารถช่วยให้เรารู้สึกมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับในสังคม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคำชมจะเป็นสิ่งที่ควรทำให้เรารู้สึกดี แต่ในความเป็นจริง หลายคนกลับรู้สึกไม่สบายใจหรืออึดอัดเมื่อต้องรับคำชื่นชม บางคนอาจตอบสนองด้วยการปฏิเสธหรือแสดงออกอย่างไม่มั่นใจ เพราะรู้สึกว่าตนเองยังไม่สมควรได้รับคำชม หรือกลัวว่าคำพูดเหล่านั้นมีนัยแอบแฝงที่ต้องระวัง
ความรู้สึกไม่สบายใจต่อคำชมอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย บางคนเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เน้นการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าการให้กำลังใจ ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกหรือไม่คุ้นชินเมื่อได้รับคำพูดเชิงบวก บางคนอาจเคยมีประสบการณ์ที่ถูกชมเชยแล้วต้องรับผิดชอบต่อความคาดหวังที่สูงขึ้น จนทำให้คำชมกลายเป็นสิ่งที่สร้างแรงกดดันโดยไม่รู้ตัว ในบางกรณี วัฒนธรรมทางสังคมก็มีบทบาทสำคัญ เช่น ในสังคมที่ให้คุณค่ากับความถ่อมตน การรับคำชมอาจถูกมองว่าเป็นการอวดตัวหรือหลงตัวเอง ส่งผลให้บางคนเลือกที่จะปฏิเสธคำชมเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมองในแง่ลบ
บทความนี้จะสำรวจสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องรับคำชม โดยพิจารณาทั้งปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความเคยชินกับการวิจารณ์ตัวเอง (Self-Criticism) หรือ ความไม่มั่นคงในคุณค่าในตนเอง (Self-Worth) ตลอดจนปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อวิธีที่เราตอบสนองต่อคำชม การทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เราตระหนักถึงรูปแบบความคิดและพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น
นอกจากนี้ เราจะมาแนะนำวิธีที่ช่วยให้สามารถยอมรับคำชมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง ลดความกังวล และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นทั้งในชีวิตส่วนตัวและในที่ทำงาน การเรียนรู้ที่จะเปิดรับคำพูดเชิงบวกและให้คุณค่ากับคำชมในแง่สร้างสรรค์ จะช่วยให้เราพัฒนาแนวคิดเชิงบวกต่อตนเองและมีความสุขกับคำพูดที่ดีจากผู้อื่นมากขึ้น
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
ความสำคัญของคำชม
คำชมเชยเป็นมากกว่าคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกดีชั่วขณะ แต่มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของบุคคล การได้รับคำชมสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง กระตุ้นให้บุคคลรู้สึกมีคุณค่าและพร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น คำชมที่จริงใจไม่เพียงแต่สร้างกำลังใจให้กับผู้รับเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขามองเห็นคุณค่าในตัวเอง และกล้าที่จะก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone) เพื่อพัฒนาทักษะหรือความสามารถที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ คำชมยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือในชีวิตส่วนตัว การได้รับคำชมจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือคนที่เรารัก สามารถทำให้เรารู้สึกเป็นที่ยอมรับ และมีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ ในองค์กรที่มีวัฒนธรรมการให้คำชมเชิงสร้างสรรค์ พนักงานมักมีแรงจูงใจในการทำงานสูงขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของทีมดีขึ้น
ในชีวิตส่วนตัว คำชมช่วยเสริมสร้างบรรยากาศเชิงบวก ลดความตึงเครียด และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ดีขึ้นในระยะยาว การชมเชยอย่างจริงใจต่อคนรอบข้าง เช่น สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนสนิท สามารถช่วยกระชับความสัมพันธ์และทำให้แต่ละคนรู้สึกมีคุณค่า การให้และรับคำชมอย่างเหมาะสมจึงเป็นทักษะที่ควรฝึกฝน เพราะนอกจากจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับแล้ว ยังสะท้อนถึงความใส่ใจและความเมตตาของผู้ให้ ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่ดีของชีวิต

การตีความคำชมและจิตวิทยา
แม้ว่าคำชมจะเป็นสิ่งที่ควรสร้างความสุขและเป็นพลังบวกในชีวิต แต่สำหรับบางคน การรับคำชมกลับทำให้รู้สึกไม่สบายใจหรืออึดอัด ปฏิกิริยานี้มักเกิดจากการตีความคำชมที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจรู้สึกว่าคำชมนั้นขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่พวกเขามองเห็นตนเอง หากบุคคลมีความรู้สึกไม่มั่นใจหรือมองตัวเองในแง่ลบ คำชมอาจกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกว่า “ตนเองไม่สมควรได้รับ” หรือเกิดความสงสัยในเจตนาของผู้ชม นอกจากนี้ บางคนอาจมองว่าคำชมเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความคาดหวัง ทำให้เกิดแรงกดดันโดยไม่รู้ตัว เช่น หากมีคนบอกว่า “คุณเก่งมาก” อาจทำให้รู้สึกว่าต้องรักษามาตรฐานนั้นไว้เสมอ และเกิดความกลัวว่าจะทำให้คนอื่นผิดหวัง
วัฒนธรรมทางสังคมและประสบการณ์ในอดีตก็มีบทบาทสำคัญต่อการตอบสนองต่อคำชม หากบุคคลเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้รับคำชมบ่อยครั้ง อาจทำให้พวกเขารู้สึกแปลกหรือสงสัยเมื่อต้องเผชิญกับคำชม เช่น บางคนอาจรู้สึกว่าเมื่อได้รับคำชมแล้ว จะต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามมา หรือมองว่าคำชมเป็นการประชดประชันโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ การเลี้ยงดูและบรรทัดฐานของครอบครัวยังมีอิทธิพลต่อการรับคำชม เช่น หากเคยถูกสอนว่า “การถ่อมตัวเป็นสิ่งสำคัญ” บุคคลอาจปฏิเสธคำชมโดยอัตโนมัติ หรือรู้สึกผิดหากยอมรับคำชมเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม การตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเข้าใจตนเองและปรับตัวให้รับคำชมได้ดีขึ้น การฝึกฝนให้ตนเองเปิดรับคำชมโดยไม่รู้สึกผิดหรืออึดอัด ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง แต่ยังช่วยให้เรามีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีขึ้นอีกด้วย
ปัจจัยที่คำชมทำให้รู้สึกแปลกๆ
- ความไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ตนเอง
เมื่อคำชมขัดแย้งกับสิ่งที่เรารับรู้เกี่ยวกับตัวเอง อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและลังเลที่จะยอมรับ เช่น หากมีคนชมว่าเราเป็นคนฉลาด แต่เรากลับมองว่าตัวเองยังมีข้อผิดพลาดมากมาย หรือยังขาดความรู้ในหลาย ๆ ด้าน เราอาจสงสัยในความจริงใจของคำชมนั้น หรืออาจรู้สึกว่าผู้ชมกำลังพูดเกินจริง ความไม่สอดคล้องนี้เรียกว่า cognitive dissonance หรือความไม่ลงรอยกันทางความคิด ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่แน่ใจ ไม่สบายใจ หรือแม้แต่การปฏิเสธคำชมโดยอัตโนมัติ คนบางคนอาจถึงขั้นหาหลักฐานมายืนยันว่าตนเองไม่ได้ดีอย่างที่ถูกชม เช่น การโฟกัสไปที่ข้อผิดพลาดหรือจุดอ่อนของตัวเองมากกว่าจุดแข็ง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความมั่นใจในตนเอง
- ความกังวลเกี่ยวกับความคาดหวัง
คำชมไม่เพียงแต่สร้างความรู้สึกดีเท่านั้น แต่ยังอาจนำมาซึ่งแรงกดดันให้เราต้องรักษามาตรฐานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น หากหัวหน้าชมว่าเราทำงานได้ยอดเยี่ยม เราอาจรู้สึกดีใจในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาจเริ่มกังวลว่าต้องทำผลงานให้อยู่ในระดับสูงเสมอ หากวันหนึ่งเราทำผิดพลาดหรือผลงานไม่ได้ดีเท่าครั้งก่อน อาจเกิดความกลัวว่าจะถูกตำหนิ หรือทำให้ผู้อื่นผิดหวัง สิ่งนี้อาจทำให้บางคนเลือกที่จะลดความคาดหวังของตนเองหรือหลีกเลี่ยงการได้รับคำชม เพราะกลัวว่าความรับผิดชอบที่ตามมาจะหนักเกินไป นอกจากนี้ คำชมที่มาพร้อมกับการเปรียบเทียบ เช่น “คุณทำได้ดีกว่าคนอื่นเยอะ” อาจทำให้รู้สึกว่าต้องแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจส่งผลต่อความเครียดและภาวะหมดไฟได้ในระยะยาว
- วัฒนธรรมทางสังคม
ในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในสังคมที่ให้คุณค่ากับความถ่อมตนและการไม่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตัวเอง มักสอนให้เราปฏิเสธคำชมเพื่อไม่ให้ดูเป็นคนหยิ่งหรือหลงตัวเอง เช่น ในบางครอบครัวหรือสังคมไทย เรามักถูกปลูกฝังว่า หากมีคนชม เราควรตอบกลับอย่างถ่อมตน เช่น “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ/ครับ” หรือ “ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” แทนที่จะตอบรับคำชมนั้นด้วยความมั่นใจ อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธคำชมบ่อยครั้ง อาจทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง และยังส่งผลต่อผู้ที่ให้คำชมด้วย เพราะพวกเขาอาจรู้สึกว่าคำพูดของตนไม่ได้รับการยอมรับ หรืออาจลังเลที่จะกล่าวคำชมในอนาคต นอกจากนี้ การปฏิเสธคำชมอาจเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความมั่นใจในตนเอง เพราะเป็นการลดค่าคุณค่าและความสามารถของตนเองโดยไม่รู้ตัว
ผลกระทบของคำชมเชยต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
คำชมเชยไม่เพียงส่งผลต่อความรู้สึกของบุคคลที่ได้รับเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อความสัมพันธ์และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม คำชมที่จริงใจสามารถสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นระหว่างบุคคล การได้รับคำชมและตอบรับอย่างเหมาะสมทำให้เกิดความรู้สึกเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่า ซึ่งช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมิตรภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือในที่ทำงาน
ในทางตรงกันข้าม การปฏิเสธคำชมอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้ที่ให้คำชมและบรรยากาศโดยรวม หากบุคคลที่ให้คำชมรู้สึกว่าคำพูดของเขาไม่ได้รับการยอมรับ หรือถูกมองข้าม อาจทำให้เขาลังเลที่จะกล่าวคำชมในอนาคต หรืออาจรู้สึกว่าความคิดเห็นของตนไม่มีค่า เช่น หากเพื่อนร่วมงานชมว่าเราทำงานได้ดี แต่เรากลับตอบกลับด้วยการปฏิเสธหรือแก้ตัว เช่น “ไม่ขนาดนั้นหรอก” หรือ “ฉันแค่โชคดี” อาจทำให้เขารู้สึกว่าเรากำลังลดค่าความคิดเห็นของเขา หรือไม่เปิดรับการแสดงความชื่นชมจากผู้อื่น นอกจากนี้ การปฏิเสธคำชมบ่อยครั้งอาจสร้างบรรยากาศที่ตึงเครียดและลดการสื่อสารเชิงบวกในที่ทำงาน
การเรียนรู้ที่จะยอมรับคำชมอย่างจริงใจ เช่น การกล่าวขอบคุณและยอมรับในความพยายามของตนเอง เป็นวิธีที่ช่วยให้ทั้งผู้ให้และผู้รับคำชมรู้สึกดีต่อกัน อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการแสดงออกเชิงบวกและสนับสนุนกันมากขึ้นในระยะยาว ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งมักเกิดจากการแลกเปลี่ยนพลังงานเชิงบวกซึ่งรวมถึงการให้และรับคำชมด้วยความจริงใจและเปิดใจ

วิธีการยอมรับคำชมเชย
- เปลี่ยนมุมมอง
แทนที่จะมองคำชมเป็นสิ่งที่น่ากังวลหรือเป็นความคาดหวังที่ต้องแบกรับ ให้ลองปรับมุมมองใหม่และคิดว่าคำชมเป็นของขวัญที่อีกฝ่ายตั้งใจมอบให้เรา การที่ใครสักคนกล่าวชื่นชมแสดงว่าเขามองเห็นคุณค่าในตัวเรา และต้องการให้เรารับรู้สิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่ หากเราฝึกเปิดใจรับคำชม เราจะค่อย ๆ เรียนรู้ว่าการยอมรับคำพูดดี ๆ จากผู้อื่นไม่ใช่การหลงตัวเอง แต่เป็นการให้เกียรติทั้งตัวเองและผู้ที่มอบคำชมนั้นให้
- ฝึกการยอมรับ
บางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องตอบรับคำชมเพราะไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี แต่การยอมรับคำชมไม่จำเป็นต้องซับซ้อนหรือต้องมีคำพูดที่ดูดีเสมอไป เพียงแค่กล่าวคำว่า “ขอบคุณ” และยิ้มอย่างจริงใจ ก็ถือว่าเป็นการตอบกลับที่เหมาะสมและทำให้บรรยากาศเป็นไปในทางที่ดีขึ้น การฝึกพูดคำว่า “ขอบคุณ” เมื่อได้รับคำชมช่วยให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น และยังทำให้ผู้ให้คำชมรู้สึกดีไปด้วย เพราะเขาจะรู้สึกว่าเราซาบซึ้งในคำพูดของเขา การรับคำชมด้วยท่าทีที่เปิดกว้างช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความรู้สึกอึดอัดที่อาจเกิดขึ้น
- พัฒนาภาพลักษณ์ตนเอง
หากเรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เราจะสามารถยอมรับคำชมได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกแปลก ๆ หรือสงสัยในความจริงใจของผู้ที่กล่าวคำชม การสร้างความมั่นใจในตัวเองสามารถเริ่มต้นได้จากการฝึกมองเห็นข้อดีของตัวเอง เช่น การจดบันทึกสิ่งดี ๆ ที่เราทำในแต่ละวัน หรือทบทวนความสำเร็จที่ผ่านมา วิธีนี้ช่วยให้เรารับรู้ว่าคำชมที่ได้รับไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นผลจากคุณสมบัติที่เรามีและสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว การเตือนตัวเองว่า “ฉันสมควรได้รับคำชมนี้” จะช่วยลดความรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องรับคำชม และทำให้เรายอมรับคำพูดดี ๆ จากผู้อื่นได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
การรับคำชมไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล หากเราเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนมุมมอง ฝึกการตอบรับอย่างเรียบง่าย และพัฒนาความมั่นใจในตัวเอง เราจะสามารถรับคำชมได้อย่างเป็นธรรมชาติและสบายใจมากขึ้น นอกจากนี้ การตอบรับคำชมด้วยความจริงใจยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้ทั้งผู้ให้และผู้รับคำชมรู้สึกดีกับการสื่อสารซึ่งกันและกันมากขึ้น
หากคุณรู้สึกไม่มั่นใจหรืออึดอัดเมื่อต้องรับคำชม Counselling Thailand มีนักจิตบำบัดที่พร้อมช่วยคุณพัฒนา ความมั่นใจในตัวเอง และเรียนรู้วิธีเปิดรับคำชมอย่างเป็นธรรมชาติ