ทุกฤดูฝนของประเทศไทย ภาพที่คุ้นตาสำหรับชาวออฟฟิศคงหนีไม่พ้นรถติดยาวเหยียดที่แทบจะเคลื่อนตัวไปไม่ได้ น้ำท่วมขังตามทางเท้าจนต้องระมัดระวังทุกก้าวเดิน เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มจากสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย และบรรยากาศที่ดูหม่นหมอง รู้สึกอึมครึมตั้งแต่เช้า หลายคนอาจมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นแค่ความปกติของฤดูกาลที่ต้องเจอทุกปี แต่แท้จริงแล้ว ปัจจัยเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนทำงานมากกว่าที่เราคิด ความเครียดสะสมจากการจราจรที่ติดขัด ความรู้สึกไม่สบายตัวจากเสื้อผ้าที่เปียกชื้น หรือแม้แต่แสงแดดที่น้อยลง ล้วนมีส่วนทำให้จิตใจของเราหม่นหมองและเริ่ม “ใจติดลบ” อย่างช้า ๆ
คำถามสำคัญคือ… แค่ฝนตก ทำไมถึงทำให้เรารู้สึกหนักใจและมีอารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้? เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเล็กน้อยเหล่านี้อาจไปกระทบกับสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของเรา เมื่อระดับเซโรโทนินลดลง อาจนำไปสู่ความรู้สึกซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า หรือแม้แต่ความกังวลที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้ “ใจติดลบ” ในช่วงหน้าฝน พร้อมแนะนำวิธีดูแลใจให้แข็งแรงและผ่านพ้นฤดูฝนนี้ไปได้อย่างสดชื่น โดยไม่เปียกปอนทั้งกายและใจ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
ทำไมหน้าฝนจึงกระทบต่อสุขภาพจิตของคนทำงาน ?
1. แสงแดดน้อยลง ฮอร์โมนความสุขลดลง
ในช่วงหน้าฝนที่มีเมฆครึ้มและฝนตกบ่อยครั้ง ร่างกายของเรามีโอกาสได้รับแสงแดดและแสงธรรมชาติน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการผลิตฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “ฮอร์โมนความสุข” เซโรโทนินมีหน้าที่สำคัญในการช่วยควบคุมอารมณ์ให้มีความสมดุล ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและมีแรงบันดาลใจ แต่เมื่อระดับเซโรโทนินลดลง เนื่องจากการขาดแสงแดด ร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณออกมาว่าเราอาจรู้สึกหดหู่ เหนื่อยล้า หรือแม้กระทั่งหมดไฟในการทำงานประจำวัน นอกจากนี้ยังส่งผลให้การนอนหลับผิดปกติ ซึ่งยิ่งส่งเสริมให้ความเครียดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
2. ฝนตก รถติด เครียดสะสม
หลายเมืองใหญ่ของประเทศไทย ต้องประสบกับปัญหาการจราจรติดขัดหนักเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน ฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้งทำให้ถนนหลายสายเกิดน้ำท่วมขัง และรถติดยาวเป็นกิโลเมตร การที่ต้องใช้เวลานานกว่าปกติบนท้องถนนโดยไม่แน่ใจว่าจะถึงที่หมายเมื่อไหร่ ยิ่งเพิ่มความเครียดและความกังวลก่อนจะเริ่มทำงาน หรือแม้แต่หลังเลิกงาน ความรู้สึกเหล่านี้สะสมเป็นแรงกดดันทางจิตใจที่อาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาพโดยรวมในระยะยาว
3. กิจกรรมคลายเครียดถูกขัดขวาง
การออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือกิจกรรมสันทนาการร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยลดความเครียดและเติมพลังชีวิตให้กับคนทำงาน แต่ในช่วงหน้าฝนที่ฝนตกบ่อยครั้ง กิจกรรมเหล่านี้มักถูกเลื่อนหรือยกเลิกไปโดยปริยาย ทำให้เราขาดโอกาสในการผ่อนคลายจิตใจและฟื้นฟูพลังงานทางร่างกายอย่างเต็มที่ เมื่อเวลาว่างถูกจำกัดและกิจกรรมลดลง ความเครียดที่สะสมจึงไม่ถูกปลดปล่อยออกมา จึงส่งผลให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าและความกดดันทางอารมณ์เพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

5 สัญญาณเงียบ ๆ ที่บอกว่าใจคุณกำลังเหนื่อยล้า
สุขภาพจิตที่เริ่มอ่อนล้าหรือมีปัญหาอาจไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนในทันที แต่มักแสดงออกผ่านสัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณอาจมองข้ามไป แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่าเป็นสัญญาณเตือนว่าจิตใจของคุณกำลังเผชิญกับความเครียดหรือความไม่สมดุลได้ เช่น
- หงุดหงิดง่ายกับเรื่องเล็กน้อย
แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปกติไม่เคยทำให้รู้สึกไม่พอใจมากนัก แต่ในช่วงนี้คุณอาจพบว่าตัวเองหงุดหงิดหรือโมโหได้ง่ายขึ้น รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวรบกวนและกดดันใจจนรับมือยาก - เบื่อหน่ายและไม่อยากลุกไปทำงาน
ความรู้สึกหมดแรงบันดาลใจหรือไม่อยากลุกจากที่นอนไปเผชิญหน้ากับวันทำงานเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจและจิตใจเริ่มถอยห่างจากกิจวัตรประจำวัน - ขาดสมาธิและคิดอะไรไม่ออก
ความเครียดสะสมทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่ คุณอาจรู้สึกว่าการจดจ่อกับงานหรือเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเรื่องยาก มีความคิดฟุ้งซ่าน และไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจนเหมือนเคย - อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
เมื่อใจเหนื่อยล้า หลายคนมักเลือกที่จะถอนตัวออกจากสังคมหรือกิจกรรมรอบข้าง เพื่ออยู่กับตัวเองและหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย ซึ่งแม้จะช่วยให้รู้สึกสงบชั่วคราว แต่ถ้าหลีกเลี่ยงนานเกินไป อาจยิ่งเพิ่มความรู้สึกโดดเดี่ยวและซึมเศร้าได้ - นอนไม่หลับหรือหลับมากเกินไป
การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการนอนหลับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าใจคุณอาจกำลังมีปัญหา บางคนอาจพบว่าตัวเองนอนไม่หลับ ตื่นบ่อย หรือมีปัญหาในการหลับลึก ขณะที่บางคนกลับหลับมากเกินไปเพื่อหนีจากความเครียด ซึ่งทั้งสองแบบนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจในระยะยาว

5 วิธีดูแลสุขภาพจิตในช่วงหน้าฝน สำหรับคนทำงาน
1. สร้างบรรยากาศให้รู้สึกดีขึ้น
การปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวสามารถช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและรู้สึกสดชื่นได้ทันที ลองเปิดเพลงเบา ๆ ที่คุณชอบ หรือเพลงที่ช่วยให้รู้สึกสงบ เช่น เพลงบรรเลงแนวอะคูสติก หรือเสียงธรรมชาติ จัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยเป็นระเบียบ เติมกลิ่นหอมด้วยน้ำมันหอมระเหยหรือเทียนหอมที่กลิ่นไม่แรงเกินไป เพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสและสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย นอกจากนี้ การจุดเทียนเล็ก ๆ บนโต๊ะทำงานยังช่วยสร้างความอบอุ่นและลดความตึงเครียดให้กับสมอง ช่วงเวลาสั้น ๆ เหล่านี้ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นและพร้อมเผชิญกับงานที่ต้องทำ
2. ปรับตารางเวลาให้ยืดหยุ่น
ช่วงหน้าฝนที่ฝนตกหนักและถนนลื่น การเผื่อเวลาเดินทางให้มากขึ้นสามารถช่วยลดความกังวลและความเครียดจากรถติดได้มาก นอกจากนี้ หากองค์กรอนุญาต ลองพูดคุยเพื่อขอทำงานแบบ Hybrid หรือทำงานจากที่บ้านบางวัน ซึ่งจะช่วยลดภาระการเดินทางในวันที่ฝนตกหนักได้อย่างมาก การมีความยืดหยุ่นในตารางเวลาจะช่วยให้คุณบริหารจัดการงานและเวลาส่วนตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้สุขภาพจิตแข็งแรงขึ้นและรู้สึกมีพลังมากขึ้นในระหว่างวัน
3. ฝึกสมาธิสั้น ๆ หรือเทคนิคหายใจลึก
แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆ เพียง 3-5 นาทีในระหว่างวัน การนั่งเงียบ ๆ ฝึกสมาธิ หรือทำแบบฝึกหัดหายใจเข้า-ออกลึก ๆ อย่างช้า ๆ จะช่วยคลายความตึงเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่ง เทคนิคนี้ช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มสมาธิให้กับการทำงาน ทำให้คุณสามารถรับมือกับความเครียดสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรู้สึกสงบขึ้นแม้ในวันที่ฝนตกหนักหรือเจอปัญหาเรื่องการจราจร
4. ใช้เวลาในรถให้เป็น “เวลาชาร์จใจ”
แทนที่จะปล่อยให้ความเครียดจากรถติดครอบงำใจ ลองใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์โดยการฟังพอดแคสต์ที่ให้ความรู้หรือสร้างแรงบันดาลใจ หนังสือเสียงที่คุณสนใจ หรือเพลงโปรดที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น การเปลี่ยนโฟกัสจากปัญหาการจราจรมาเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ จะช่วยลดความรู้สึกหงุดหงิดและเพิ่มพลังใจให้พร้อมสำหรับวันใหม่
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกไม่ไหว
การดูแลสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลย หรือรอจนกว่าจะถึงจุด “ไม่ไหว” จึงจะขอความช่วยเหลือ หากคุณรู้สึกว่าความเครียดหรือความรู้สึกติดลบส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การปรึกษานักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวางแผนการดูแลใจอย่างเหมาะสม พร้อมให้คำปรึกษาและวิธีจัดการกับอารมณ์เชิงลบ เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพจิตที่แข็งแรงและพร้อมรับมือกับความท้าทายในชีวิตได้ดีขึ้น
ฤดูฝนจะยังคงมาในทุกปี แต่สุขภาพใจของคุณไม่ควรเปียกปอนตามไปด้วย หากเรามีวิธีดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ช่วงเวลาเปียก ๆ เหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสดีที่จะทำให้คุณเข้าใจและใส่ใจตัวเองมากขึ้น หากรู้สึกว่าความเครียดหรือความรู้สึกด้านลบเริ่มสะสมจนจัดการได้ยาก Counselling Thailand พร้อมให้บริการนักจิตบำบัดผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมช่วยดูแลใจ ให้คำปรึกษา และแนะนำวิธีรับมือกับความเครียดในช่วงหน้าฝน เพื่อให้คุณผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างมั่นคงและสดใสขึ้น