โทรศัพท์:0910713531  Whatsapp:+66910713531  อีเมล:info@counsellingthailand.co.th    วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 20.00 น.

เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน

รับคำปรึกษาเลย

การหย่าร้างกับ 5 วิธีปกป้องลูกระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน

by Counselling Thailand | ก.ค. 27, 2025

การหย่าร้าง คือช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในครอบครัว ไม่เพียงแต่พ่อแม่เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่ในชีวิตประจำวัน แต่ ลูก ๆ ก็ต้องแบกรับภาระทางอารมณ์ที่หนักหน่วง พวกเขาต้องเผชิญกับคลื่นความรู้สึกที่ถาโถม ทั้งความสับสน ความกังวล และความรู้สึกไม่มั่นคงอย่างรุนแรงในสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา ซึ่งในสายตาของเด็ก โลกที่พวกเขารู้จักและรู้สึกปลอดภัยกำลังพังทลายลง

การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในชีวิต ที่ตามมาจากการหย่าร้างส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้ง เช่น การที่ต้อง เปลี่ยนบ้าน ต้องย้ายโรงเรียน ต้องปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ การอยู่ห่างจากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง รวมถึงการสูญเสียความคุ้นเคยและรูปแบบครอบครัวเดิมที่เคยเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กในระยะยาว หากลูกไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมและถูกปล่อยให้แบกรับความเครียดเพียงลำพัง พวกเขาอาจเกิดปมปัญหาทางใจที่ซ่อนเร้น เด็กอาจรู้สึก โดดเดี่ยว สูญเสียความมั่นใจในตนเอง มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ หรืออาจพัฒนาไปสู่ปัญหาด้านความสัมพันธ์หรือสุขภาพจิตในอนาคตได้

ดังนั้น บทบาทของพ่อแม่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง มันไม่ใช่แค่การจัดการชีวิตของตนเอง หรือการจัดตารางการเยี่ยมเยียน แต่คือการเป็น “เกราะป้องกัน” ทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งให้กับลูก พ่อแม่ต้องเข้าใจและยอมรับว่าความขัดแย้งของผู้ใหญ่ไม่ควรถูกโยนมาเป็นภาระของเด็ก และต้องมีสติในการรับมือกับสถานการณ์เพื่อรักษาความมั่นคงทางใจของลูกไว้ให้ได้มากที่สุด ความสำเร็จในการปกป้องลูกไม่ได้วัดจากการหลีกเลี่ยงการหย่าร้าง แต่คือการ บริหารจัดการการหย่าร้าง ให้ลูกรู้สึกว่าความรักไม่เคยหย่าร้างไปจากพวกเขา

การดำเนินการที่เป็นรูปธรรม คือการให้ความสำคัญกับ ความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน การรักษากิจวัตรเดิม ๆ เช่น เวลาอาหาร การเข้านอน หรือกิจกรรมที่ลูกคุ้นเคย จะช่วยสร้างความรู้สึกว่าชีวิตยังคงมีเสถียรภาพและสามารถพึ่งพาได้ ขณะเดียวกัน พ่อแม่ต้อง เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกได้แสดงอารมณ์ รับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสินความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ หรือความกลัว และย้ำเสมอว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ ลดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ให้เป็นศูนย์ และไม่ใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการโจมตีหรือใส่ร้ายอดีตคู่สมรส การแสดงออกซึ่งความเป็นผู้ปกครองร่วมที่ให้เกียรติกัน จะช่วยให้ลูกรู้สึกว่าพวกเขายังคงเป็นที่รักและมีคุณค่าจากทั้งสองฝ่าย

บทความนี้จึงนำเสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงและอ่อนโยน เพื่อช่วยให้พ่อแม่สามารถ “ปกป้องลูก” จากผลกระทบที่มองไม่เห็น สร้างความมั่นคงทางใจและความรู้สึกปลอดภัยให้กับพวกเขาได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตนี้ และเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง มีความยืดหยุ่นทางใจ และมีสุขภาพจิตที่ดีได้ในที่สุด

ทำความเข้าใจความรู้สึกของลูก

เด็กที่เผชิญกับการหย่าร้างกำลังแบกรับภาระทางใจที่หนักหน่วง พวกเขาไม่ได้มีแค่ความเศร้า แต่ยังมี อารมณ์ที่ซับซ้อนและเปราะบาง อย่างมากที่ยากจะทำความเข้าใจ พวกเขาอาจรู้สึก กลัว ต่อการสูญเสียความรักจากพ่อแม่คนใดคนหนึ่ง หรือกลัวว่าชีวิตหลังการหย่าร้างจะดำเนินต่อไปอย่างไร พวกเขาเต็มไปด้วยความ สับสน กับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน ทั้งการย้ายบ้านและการปรับตารางเวลา และอาจรู้สึก โกรธ เพราะรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ไม่ยุติธรรมเลย ความรู้สึกรุนแรงเหล่านี้ไม่ได้แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเสมอไป เด็กบางคนอาจเลือกที่จะ เก็บความรู้สึกไว้เงียบ ๆ หรือแยกตัวออกจากเพื่อนและกิจกรรมที่เคยชอบ ซึ่งเป็นการถอนตัวทางสังคม ขณะที่บางคนอาจแสดงออกผ่านพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะก้าวร้าวหรือถดถอย เช่น งอแงมากขึ้น มีอาการปัสสาวะรดที่นอน หรือ ปฏิเสธที่จะไปโรงเรียน พ่อแม่จึงต้องตระหนักไว้เสมอว่า พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ “การดื้อ” หรือความพยายามที่จะควบคุม แต่คือ สัญญาณขอความช่วยเหลือทางอารมณ์ ที่พวกเขาไม่รู้วิธีสื่อสารออกมาเป็นคำพูดที่เหมาะสม

สิ่งสำคัญที่สุดคือการ เปิดพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกได้แสดงออกทางอารมณ์โดยไม่ถูกตัดสิน การรับฟังของพ่อแม่เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนความรู้สึกของเด็กกลับไปอย่างอ่อนโยน ช่วยให้ลูกมั่นใจว่าสิ่งที่พวกเขารู้สึกนั้นเป็นเรื่องปกติ และยังคงเป็นที่รักและมีคุณค่าในสายตาพ่อแม่เสมอ แม้ครอบครัวจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม พ่อแม่ควร ฟังลูกโดยไม่รีบให้คำตอบ หรือพยายามแก้ไขปัญหาให้ลูกทันที เพราะสิ่งที่ลูกต้องการในขณะนั้นคือการรับรองว่ามีคนรับรู้และยอมรับความเจ็บปวด ความสับสน หรือความกังวลของพวกเขา การรีบเสนอทางแก้ปัญหาอาจทำให้เด็กรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองกำลังถูกปฏิเสธหรือไม่สำคัญ การฟังอย่างตั้งใจด้วยความเข้าใจและอดทนคือการบำบัดเบื้องต้นที่ทรงพลังที่สุด

คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ คำถามปลายเปิด ที่ให้พื้นที่แก่ลูกได้สำรวจความรู้สึกของตนเองอย่างลึกซึ้ง คำถามที่เน้นประสบการณ์ภายใน เช่น “หนูรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในใจ?” หรือ “มีอะไรที่ทำให้หนูเศร้า โกรธ หรือกังวลเป็นพิเศษไหม?” จะช่วยกระตุ้นให้ลูกพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกถูกคาดคั้น การให้ทางเลือกแก่ลูกในการสื่อสารก็มีความสำคัญเช่นกัน ควร สนับสนุนให้ลูกใช้วิธีอื่นที่ถนัดในการระบายอารมณ์ นอกเหนือจากการพูด เช่น การ วาดภาพ ที่ให้สีสันแทนความรู้สึก การ เขียนบันทึก เป็นส่วนตัวเพื่อระบายความลับในใจ การ แต่งเพลงหรือเล่นดนตรี ที่ช่วยปลดปล่อยความตึงเครียด หรือการออกกำลังกาย กิจกรรมเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นช่องทางที่ปลอดภัยในการระบายอารมณ์เชิงลบออกไป ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการจัดการอารมณ์โดยอ้อม

เหนือสิ่งอื่นใด อย่าลืมย้ำกับลูกเสมอว่า “ความรู้สึกทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ” ไม่ว่าจะเศร้า โกรธ สับสน หรือกลัว ไม่มีอารมณ์ใดที่ผิดพลาดหรือน่าละอาย สิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่จะ อยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอ และย้ำว่าไม่มีอะไรที่ลูกทำเป็นต้นเหตุของการหย่าร้าง พ่อแม่ต้องทำให้ลูกเห็นว่าความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกนั้นยังคงมั่นคงและไม่เคยสิ้นสุดลง การรับฟังอย่างอ่อนโยนและต่อเนื่อง การให้ความรักที่ไม่ลดลงตามจำนวนผู้ปกครองที่อยู่ในบ้าน จะช่วยให้ลูกค่อย ๆ ฟื้นฟูความมั่นคงทางใจ และรู้ว่าตนเองไม่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้เพียงลำพัง การแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจอย่างแท้จริงนี้เอง ที่จะช่วยสร้าง ความยืดหยุ่นทางใจ (Resilience) ให้เด็กสามารถปรับตัวและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งและมีสุขภาพจิตที่ดีได้ในที่สุด

วิธีปกป้องลูกระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านของการหย่าร้าง

ลดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่

ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นต่อหน้าลูก หรือแม้แต่ความตึงเครียดที่ไม่มีใครพูดถึงในบ้าน ส่งผลเสียต่อจิตใจของเด็กอย่างรุนแรงและเป็นปมปัญหาในระยะยาว การทะเลาะเบาะแว้ง การตะคอกใส่กัน การส่งสายตาที่เย็นชา หรือการแสดงออกซึ่งความไม่ลงรอย จะสั่นคลอนโลกของเด็กอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขารู้สึก ไม่มั่นคง และเชื่อว่าครอบครัวของตนไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เด็กอาจเริ่มตั้งคำถามถึงความรัก ความผูกพัน และความเชื่อมั่นในผู้ใหญ่รอบตัว ที่เลวร้ายที่สุดคือเด็กอาจโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา (Self-Blame) หรือรู้สึกรับผิดชอบต่อการทำให้พ่อแม่กลับมาคืนดีกัน ความรู้สึกเหล่านี้หากสะสมไว้นานและไม่มีการคลี่คลาย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมในโรงเรียน ความสัมพันธ์กับเพื่อน และพัฒนาการทางอารมณ์ในอนาคต ทำให้เด็กขาดความยืดหยุ่นทางใจ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และมีความกังวลสูง

ดังนั้น พ่อแม่จึงมีหน้าที่สำคัญที่สุดคือการ ร่วมมือกันสร้างบรรยากาศในบ้านที่สงบ เคารพกัน และเปิดโอกาสให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มั่นคงทางใจอย่างแท้จริง นี่หมายถึงการทำข้อตกลงร่วมกันอย่างชัดเจนที่จะ หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดเชิงลบ ดุด่า หรือตำหนิอดีตคู่สมรสต่อหน้าลูกอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าความรู้สึกส่วนตัวจะแย่แค่ไหนก็ตาม เพราะเด็กจะซึมซับวิธีสื่อสารที่เป็นพิษเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว และนำไปใช้ในการแก้ปัญหาความสัมพันธ์ในชีวิตของพวกเขาเองในอนาคต พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่าลูกไม่ควรถูกใช้เป็น ผู้ส่งสาร หรือเป็น หูฟัง สำหรับปัญหาและความขัดแย้งของผู้ใหญ่

เมื่อต้องสื่อสารกับอดีตคู่สมรส ควรทำอย่าง ตรงไปตรงมาแต่สุภาพ และรักษามารยาทต่อกันในฐานะผู้ปกครองร่วม สื่อสารโดยมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อความสุขและความต้องการของลูกเป็นหลักเท่านั้น มากกว่าการพยายามเอาชนะหรือตอบโต้กันในเรื่องส่วนตัว การแสดงออกถึงการให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย จะเป็นการส่งสัญญาณถึงความมั่นคงและความเป็นผู้ใหญ่ให้กับลูกรับรู้ หากความขัดแย้งเริ่มรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมได้ หรือพ่อแม่รู้สึกว่าไม่สามารถจัดการอารมณ์และปัญหาได้ด้วยตนเอง การตัดสินใจ ขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยา หรือนักจิตบำบัดครอบครัว ถือเป็นขั้นตอนที่จำเป็นและฉลาดอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญจะทำหน้าที่เป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยความแตกต่าง สอนวิธีสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ และช่วยให้พ่อแม่เข้าใจในบทบาทการเป็นผู้ปกครองร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการความขัดแย้งไม่เพียงแต่จะช่วยให้พ่อแม่หาจุดร่วมและลดความตึงเครียดระหว่างกันได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วย ปกป้องสุขภาพจิตของลูก ให้เติบโตอย่างแข็งแรงในครอบครัวที่แม้จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป แต่ยังคงเต็มไปด้วยความรัก ความเคารพ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ลูกก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างมั่นคงที่สุด

สร้างความมั่นคงในชีวิตประจำวันของลูก

แม้สภาพครอบครัวจะเปลี่ยนไป ความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน เป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยทางอารมณ์อย่างยิ่ง เด็กจะรู้ว่ายังมีสิ่งที่พวกเขาสามารถพึ่งพาและคาดการณ์ได้ ช่วยลดความวิตกกังวล และสร้างความมั่นใจในชีวิตที่กำลังเปลี่ยนแปลง การรักษากิจวัตรเดิมจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด

กิจกรรมที่ลูกคุ้นเคยควรได้รับการสานต่ออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ลูกได้เล่นกีฬา ดนตรี หรือกิจกรรมที่เคยทำอยู่เป็นประจำ การมีกิจกรรมที่สนุกสนานและคุ้นเคยช่วยสร้างความรู้สึกปกติและมีความสุขในแต่ละวัน นอกจากนี้ การจัดให้มี ช่วงเวลาพิเศษกับครอบครัว ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น จัดวันศุกร์ให้เป็นคืนดูหนัง วันเสาร์ไปสวนสาธารณะ หรือวันอาทิตย์ทำอาหารด้วยกัน แม้พ่อแม่จะแยกกัน แต่ลูกยังควรได้มีเวลาคุณภาพกับทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีการขาดหาย การรักษา เวลาอาหาร ให้คงที่ก็เป็นส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะอยู่บ้านพ่อหรือแม่ การทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนและอาหารเย็นในเวลาเดิม จะช่วยให้เด็กรู้สึกว่าชีวิตยังเป็นปกติและมีระเบียบ และการรักษากิจวัตรก่อนนอน ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เช่น การอาบน้ำ อ่านนิทาน หรือคุยเรื่องราวในวัน ควรทำให้เหมือนเดิมทุกคืน เพราะเวลานอนที่สม่ำเสมอช่วยให้เด็กได้พักผ่อนเพียงพอและมีอารมณ์ที่ดี ส่วน กิจวัตรเช้า อย่างการเตรียมตัวไปโรงเรียน การตื่นนอน แปรงฟัน แต่งตัว และกินข้าวในเวลาเดิมที่เป็นระเบียบ จะช่วยให้เด็กเริ่มต้นวันด้วยความมั่นใจ

เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนโรงเรียน หรือการปรับโครงสร้างครอบครัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสื่อสารที่ดีและการให้เด็กมีส่วนร่วม พ่อแม่ควรใช้ภาษาที่เหมาะกับวัยของลูก เด็กเล็กต้องการคำอธิบายที่เรียบง่าย แต่ควรแจ้งให้ลูกรู้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่บอกทีละนิดหรือเก็บเป็นความลับ การมีเวลาเตรียมใจช่วยให้เด็กรับมือได้ดีกว่า ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างอิสระ พร้อมกับ ยอมรับความรู้สึก ที่ลูกกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความกังวล หรือความโกรธ การได้แสดงอารมณ์ออกมาช่วยให้เด็กได้ปลดปล่อยและรู้สึกดีขึ้น

อีกหนึ่งความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการทำให้ลูกรู้สึกว่า ไม่ต้องเลือกข้าง ระหว่างพ่อกับแม่ เด็กต้องการความรักและความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งคู่ พ่อแม่จึงควรร่วมกัน แบ่งเวลาอย่างเป็นธรรม สร้างตารางที่ลูกได้ใช้เวลากับพ่อและแม่อย่างสมดุล และต้อง งดพูดเสียดสีอีกฝ่าย หรือพูดในแง่ลบเกี่ยวกับอดีตคู่สมรสต่อหน้าลูกโดยเด็ดขาด การทำเช่นนั้นเท่ากับการเอาลูกเป็นเครื่องมือในความขัดแย้ง ซึ่งส่งผลเสียต่อจิตใจลูกอย่างมาก ควร ส่งเสริมการติดต่อ เช่น อำนวยความสะดวกให้ลูกได้โทรหรือวิดีโอคอลกับอีกฝ่ายเมื่ออยู่กับเรา และ ประสานงานกับอดีตคู่สมรส ในเรื่องกฎเกณฑ์ กิจวัตร และการดูแลลูกให้สอดคล้องกัน เพื่อไม่ให้ลูกสับสนหรือใช้ช่องว่างในการเล่นกับความรู้สึกของผู้ใหญ่

การรักษาความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวันไม่ใช่แค่ช่วยลดความเครียดในช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้น แต่ยังมีผลในระยะยาวต่อพัฒนาการของเด็ก โดยการสร้าง สุขภาพจิตที่ดี ให้เด็กมีความเครียดและความวิตกกังวลน้อยกว่า มีความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์ การสร้าง ทักษะการปรับตัว ให้เด็กสามารถรับมือกับสิ่งที่ไม่แน่นอนได้ดีขึ้น ส่งเสริมผลการเรียนที่ดีขึ้น ด้วยกิจวัตรการนอนและการทำการบ้านที่เพียงพอ รวมถึงมี พฤติกรรมที่ดี และสร้าง ความสัมพันธ์ที่แข็งแรง กับพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายอย่างยั่งยืน

วิธีปกป้องลูกระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านของการหย่าร้าง

สื่อสารเชิงบวกเกี่ยวกับอีกฝ่าย

การปกป้องจิตใจลูกหลังการหย่าร้างเริ่มต้นที่ คำพูดของคุณ พ่อแม่ต้อง หลีกเลี่ยงการพูดถึงอดีตคู่สมรสในแง่ลบต่อหน้าลูกโดยเด็ดขาด (No Badmouthing) คำพูดใด ๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความผิดหวัง หรือการตำหนิ จะทำหน้าที่เหมือน “ยาพิษทางอารมณ์” ที่ส่งผลร้ายต่อเด็กโดยตรง ความขัดแย้งของผู้ใหญ่ไม่ควรถูกโยนมาเป็นภาระทางใจของลูก เพราะเด็ก ๆ ยังมองพ่อและแม่เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข การโจมตีอีกฝ่ายจึงเท่ากับการ โจมตีตัวตนของลูก เองอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับ ความสับสนทางอารมณ์อย่างรุนแรง และรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกดึงให้ต้องเลือกข้าง (Loyalty Conflict) ซึ่งเป็นความเครียดที่เกินกว่าที่จิตใจของเด็กจะรับไหว ท้ายที่สุดแล้ว ความขัดแย้งนี้จะบั่นทอนความผูกพันที่ลูกมีต่อพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง หรือต่อทั้งสองฝ่ายอย่างน่าเสียดาย

ความเสียหายทางอารมณ์ที่เกิดจากการใส่ร้ายคู่สมรสเดิมนั้นลึกซึ้งกว่าที่คิด ลูกอาจเริ่มมีพฤติกรรมถดถอย มีความวิตกกังวลสูง หรือมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ เพราะพวกเขาเรียนรู้ว่าความสัมพันธ์หมายถึงความเจ็บปวดและความขัดแย้ง ดังนั้น เพื่อให้ลูกสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง พ่อแม่จะต้องจัดการกับความรู้สึกด้านลบของตนเองอย่างเป็นส่วนตัว และไม่นำมาแสดงออกต่อหน้าลูก พ่อแม่ต้องตกลงกันว่า บทบาทของคู่สมรสอาจจบลง แต่บทบาทของการเป็น ผู้ปกครองร่วม นั้นยังคงอยู่ และต้องดำรงไว้ด้วยความเคารพซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูก

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการใช้ คำพูดเชิงบวก (Positive Reinforcement) เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยให้กับลูก แทนที่จะวิจารณ์การกระทำของอีกฝ่าย ให้พ่อแม่หันมา เน้นย้ำความรักและความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมีให้ลูกเสมอ ควรเป็นผู้สื่อสารที่ทำให้ลูกรู้สึกมั่นใจในความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด เช่น “คุณพ่อ/คุณแม่รักหนูมากนะ และเราสองคนอยากให้หนูมีความสุขที่สุดเสมอ” หรือ “แม้เราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่เรายังคงเป็นทีมที่ดูแลและรักหนูอย่างเต็มที่” การสื่อสารด้วยความรับผิดชอบและสม่ำเสมอเช่นนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึก ปลอดภัย และเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่จบลง แต่ ความรักต่อลูกยังคงอยู่ 100% จากทั้งสองฝ่าย อย่างไม่มีเงื่อนไข การสร้างมุมมองที่มั่นคงและสมบูรณ์เช่นนี้คือรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ลูกมีสุขภาพจิตที่ดี สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตได้เร็วขึ้น และสามารถปรับตัวเข้ากับครอบครัวรูปแบบใหม่ได้อย่างราบรื่นโดยไม่รู้สึกว่าต้องแบกรับความผิดใด ๆ ไว้บนบ่า การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อลูกเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้ปกครองที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจของลูกเหนือความขัดแย้งส่วนตัวทั้งหมด

ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ 

แม้ว่าพ่อแม่จะพยายามสร้างความมั่นคงทางใจและรักษากิจวัตรอย่างดีที่สุด แต่เด็กบางคนก็อาจปรับตัวเข้ากับการหย่าร้างได้ยากกว่าที่คิด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้สามารถสร้างบาดแผลทางอารมณ์ที่ลึกเกินกว่าที่พ่อแม่จะเยียวยาได้เพียงลำพัง

หากคุณเริ่มสังเกตเห็น สัญญาณเตือน ที่บ่งบอกถึงความเครียดสะสมอย่างรุนแรงในตัวลูก นั่นหมายถึงเวลาที่คุณต้องขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพ สัญญาณเหล่านี้รวมถึงการที่ลูกเริ่ม เก็บตัวเงียบ ปฏิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมที่เคยชอบ หงุดหงิดง่าย หรือมี พฤติกรรมก้าวร้าว ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากนี้ หาก ผลการเรียนตกต่ำ อย่างเห็นได้ชัด หรือมีปัญหาการนอนหลับเรื้อรัง ก็เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าลูกกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

นักจิตวิทยา หรือนักจิตบำบัดเด็ก มีความเชี่ยวชาญในการทำความเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ที่ซับซ้อนของเด็กในช่วงวิกฤต พวกเขาสามารถช่วยให้ลูกของคุณมีเครื่องมือในการ ทำความเข้าใจและจัดการอารมณ์ ความสูญเสีย และความโกรธที่เกิดขึ้นภายในใจได้อย่างถูกวิธี ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญยังสามารถ ให้คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมแก่พ่อแม่ ในการปรับรูปแบบการสื่อสาร การดูแล และการสนับสนุนลูกอย่างเหมาะสมที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะผ่านพ้นช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้โดยมีบาดแผลทางใจน้อยที่สุด และสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตที่แข็งแรง

การหย่าร้างถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตครอบครัว แต่ การปกป้องจิตใจและสุขภาพอารมณ์ของลูก ในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความมุ่งมั่นของพ่อแม่ที่จะ วางความขัดแย้งส่วนตัวไว้เบื้องหลัง และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูกเป็นหลัก แม้ว่าชีวิตคู่จะจบลงแล้ว แต่บทบาทของการเป็นพ่อและแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักนั้นยังคงอยู่ตลอดไป ด้วยความร่วมมือที่แข็งขัน การสื่อสารที่อบอุ่น และการให้ความมั่นคงทางใจ เด็กจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างเข้มแข็งและเติบโตขึ้นอย่างมั่นใจในที่สุด

รากฐานสามประการเพื่อความมั่นคงทางใจของลูก

ตลอดช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านนี้ พ่อแม่ควรยึดมั่นในรากฐานสำคัญสามประการที่ช่วยสร้างเกราะป้องกันใจให้กับลูก

1. ลดความขัดแย้งให้เป็นศูนย์และใช้คำพูดเชิงบวก (No Badmouthing): นี่คือหัวใจสำคัญของการปกป้องลูก พ่อแม่ต้อง หลีกเลี่ยงการพูดถึงอดีตคู่สมรสในแง่ลบต่อหน้าลูกโดยเด็ดขาด (No Badmouthing) เพราะคำพูดเชิงลบเป็นเหมือนยาพิษทางอารมณ์ที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องเลือกข้าง (Loyalty Conflict) และทำลายความผูกพันของลูกกับพ่อหรือแม่ การใช้ คำพูดเชิงบวก เช่น “คุณพ่อรักหนูมากนะ” หรือ “คุณแม่อยากให้หนูมีความสุขที่สุดเสมอ” จะช่วยเสริมความรู้สึกปลอดภัย และย้ำว่าความรักที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อลูกนั้นไม่มีเงื่อนไข

2. รักษากิจวัตรและความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน (Consistency is Key): แม้การเปลี่ยนบ้านและการปรับตารางเวลาจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความสม่ำเสมอในกิจวัตรประจำวัน เช่น เวลาอาหาร เวลาเข้านอน หรือการทำกิจกรรมที่คุ้นเคย จะช่วยสร้างความรู้สึกมั่นคงและคาดการณ์ได้ให้แก่ลูก พวกเขาจะรู้ว่ายังมีสิ่งที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้ ช่วยลดความวิตกกังวล และทำให้ลูกรู้สึกว่าชีวิตยังคงมีระเบียบภายใต้ความไม่แน่นอน

3. เปิดพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแสดงอารมณ์ (Emotional Validation): พ่อแม่ต้องตระหนักว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูก (เช่น การงอแงหรือการเก็บตัว) คือ สัญญาณขอความช่วยเหลือทางอารมณ์ ไม่ใช่การดื้อ การ รับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสิน หรือรีบแก้ไขปัญหา จะช่วยให้ลูกมั่นใจว่าอารมณ์ที่ซับซ้อนของพวกเขานั้นเป็นเรื่องปกติและได้รับการยอมรับ ควรสนับสนุนให้ลูกใช้วิธีที่ถนัดในการระบายความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย การวาดภาพ หรือการเล่นดนตรี เพื่อให้ลูกได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่เก็บกดไว้

เมื่อความท้าทายเกินกว่าจะรับมือ: การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ

แม้ว่าพ่อแม่จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่สำหรับบางครอบครัว ความขัดแย้งที่ฝังลึก หรือ ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรงของลูก อาจเกินกว่าที่พ่อแม่จะจัดการได้ด้วยตนเอง หากลูกมีอาการเครียดรุนแรงต่อเนื่อง เช่น เก็บตัวเงียบ หงุดหงิดง่าย มีปัญหาการนอนหลับ หรือผลการเรียนตกต่ำอย่างชัดเจน นั่นเป็นสัญญาณว่าครอบครัวต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

นักจิตวิทยา หรือนักจิตบำบัดเด็กและครอบครัว มีเครื่องมือและความเชี่ยวชาญในการช่วยให้ลูกเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ที่ซับซ้อนของการหย่าร้างได้ดีขึ้น พวกเขาสามารถทำงานกับเด็กเพื่อคลี่คลายความรู้สึกสับสน ความโกรธ และความรู้สึกผิดที่ลูกอาจแบกรับไว้ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังให้ คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมแก่พ่อแม่ ในการปรับรูปแบบการสื่อสารและการเป็นผู้ปกครองร่วมกันอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องและเป็นประโยชน์ต่อลูกที่สุด

การขอความช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดจึงไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลว แต่เป็น การลงทุนในสุขภาพจิตของลูกในระยะยาว ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรักและความรับผิดชอบในฐานะพ่อแม่ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของลูกเหนือสิ่งอื่นใด

การหย่าร้างเป็นจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์คู่รัก แต่คือจุดเริ่มต้นของการเป็น ผู้ปกครองร่วมที่มีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม หรือรู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือในการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบากนี้ Counselling Thailand มีทีม นักจิตบำบัดมืออาชีพ ที่พร้อมช่วยให้ครอบครัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างอ่อนโยนและมีสุขภาพจิตที่ดี

การทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจและมีสติของพ่อแม่คือ ของขวัญล้ำค่าที่สุด ที่คุณจะมอบให้ลูกในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ การหย่าร้างคือการสิ้นสุดของชีวิตคู่ แต่ไม่ใช่การสิ้นสุดของการเป็นทีมผู้ปกครอง คุณต้องแสดงให้ลูกเห็นว่า คุณยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน ในการดูแลพวกเขาและตัดสินใจเรื่องสำคัญ การสื่อสารอย่างเคารพกัน การรักษาสัญญา และการให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกเหนือความขัดแย้งส่วนตัว จะเป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุด ลูกของคุณจะสามารถ เติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และมีความยืดหยุ่นทางใจ ตราบใดที่พวกเขายังคงรู้สึกถึง ความรักและการสนับสนุนที่มั่นคง และสมบูรณ์จากคุณทั้งสองฝ่ายอย่างไม่ลดละ

เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ

ปรึกษาฟรี 15 นาที

เราเข้าใจว่าการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษาอาจทำให้คุณกังวล
ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือสงสัยว่าการปรึกษาจะช่วยคุณได้จริงหรือไม่ เราพร้อมมอบประสบการณ์การปรึกษาที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจในทุกขั้นตอน

รับคำปรึกษาเลย