ทำความรู้จัก โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

ทำความรู้จัก โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล หรือ Seasonal Affective Disorder (SAD) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูกาลที่มีแสงแดดน้อย เช่น ฤดูหนาวหรือฤดูฝน เนื่องจากแสงแดดมีบทบาทสำคัญในการควบคุมฮอร์โมนที่ส่งผลต่ออารมณ์อย่าง เซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ช่วยสร้างความสุข เมื่อร่างกายได้รับแสงแดดน้อยลง ระดับเซโรโทนินจะลดลง ทำให้อารมณ์ของเราหม่นหมองลง นอกจากนี้ สภาพอากาศที่หนาวเย็นและฝนตกต่อเนื่องอาจทำให้บางคนรู้สึกเฉื่อยชา ขาดความรู้สึกในการทำกิจกรรมประจำวัน ทั้งนี้ ความรุนแรงของอาการ SAD อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจเพียงรู้สึกเบื่อหน่าย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรงจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน การทำงานหรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง 1. ปัจจัยที่ส่งผลโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder – SAD) คือการขาดแสงแดด ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนที่ชื่อว่า เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความสุข เมื่อร่างกายได้รับแสงแดดน้อยลง ระดับเซโรโทนินจะลดลง ทำให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า เบื่อหน่าย และรู้สึกขาดความสนุกจากกิจกรรมที่เคยทำมาก่อน นอกจากนี้ การลดลงของเซโรโทนินยังส่งผลให้เรามีความยืดหยุ่นในการจัดการกับความเครียดและปัญหาในชีวิตประจำวันน้อยลง ทำให้หลายคนรู้สึกหมดพลังและไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ระดับของ เมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการนอนหลับก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีแสงแดดน้อย […]

ดูแลใจเมื่อเจอภัยพิบัติ ให้ผ่านไปอย่างเข้มแข็ง

ดูแลใจเมื่อเจอภัยพิบัติ ให้ผ่านไปอย่างเข้มแข็ง เมื่อเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม, แผ่นดินไหว, พายุ หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญทันทีคือการปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน แต่ในขณะเดียวกัน ผลกระทบที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ สุขภาพจิต ที่ได้รับแรงกระทบที่รุนแรง ความรู้สึกเครียด กังวล และความไม่แน่นอนสามารถแทรกซึมเข้ามาในจิตใจของผู้ประสบภัยอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับการสูญเสียหรือการต้องปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ๆ แบบรวดเร็ว ผู้คนอาจตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้และทำให้การฟื้นตัวทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องยาก ไม่เพียงแต่คนที่ประสบกับภัยพิบัติโดยตรงเท่านั้นที่จะรู้สึกถึงความเครียดและความกังวล แม้แต่คนที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างใกล้ชิดก็ยังสามารถรู้สึกถึงผลกระทบทางอารมณ์ผ่าน ข่าวสาร และ ข้อมูล ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อทั้งหลาย การเห็นภาพของความเสียหายและการฟังข่าวที่ไม่ดีอย่างต่อเนื่องอาจทำให้คนทั่วไปรู้สึกหดหู่และวิตกกังวลได้ บทความนี้จึงนำเสนอแนวทางในการดูแล สุขภาพจิตเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้คุณสามารถเตรียมพร้อมและรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีสติและ เข้มแข็ง รวมถึงแนะนำวิธีการดูแลจิตใจของคนรอบข้างที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว Table of Contents ผลกระทบของภัยพิบัติต่อสุขภาพจิต ภัยพิบัติไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางกายภาพ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพจิต ของผู้คนที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียบ้านเรือน ทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งการสูญเสียคนที่รัก ล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้ประสบภัยรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในชีวิต ภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติส่งผลให้อารมณ์และจิตใจถูกกดดันอย่างหนัก ความรู้สึก ความเครียด, ความวิตกกังวล, ความเศร้า และ อาการช็อก เป็นอารมณ์ที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัตซึ่งในบางกรณี อาจพัฒนาเป็น ภาวะซึมเศร้า […]

นักจิตบำบัด vs ไลฟ์โค้ช

นักจิตบำบัด vs ไลฟ์โค้ช ต่างกันอย่างไร นักจิตบำบัดและไลฟ์โค้ชมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้คนในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลายคนให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและการพัฒนาตนเองมากขึ้น เนื่องจากสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความเครียดและแรงกดดัน ไม่ว่าจะมาจากการทำงาน ชีวิตส่วนตัว หรือการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หลายคนเริ่มมองหาวิธีการรับมือกับปัญหาและพัฒนาตนเอง การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่เพียงแค่ช่วยรับมือกับความเครียด แต่ยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจสับสนระหว่างการเลือกนักจิตบำบัดหรือไลฟ์โค้ช เพราะทั้งสองอาชีพมีวิธีการและจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสองอาชีพนี้ ทั้งในด้านการทำงาน แนวทางการให้คำปรึกษา และผลลัพธ์ เพื่อช่วยให้คุณเลือกบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด Table of Contents นักจิตบำบัดคืออะไร? นักจิตบำบัด (Therapist/Counsellor) คือ ผู้ที่ผ่านการศึกษาเฉพาะทางในด้าน จิตวิทยา และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการวิชาชีพทางจิตวิทยา หรือ จบการศึกษาเฉพาะทางด้านจิตวิทยา นักจิตบำบัดจะมีการศึกษาเกี่ยวกับ การทำงานของจิตใจ และ พฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจและประเมิน สภาพจิตใจ ของผู้ที่มาขอรับคำปรึกษาได้อย่างแม่นยำ หน้าที่ของนักจิตบำบัดไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟังที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์ถึงต้นเหตุของ ปัญหาทางจิตใจ หรือ ปัญหาทางอารมณ์ ที่ผู้รับบริการกำลังเผชิญ โดยเน้นไปที่การจัดการกับ ความเครียด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ความคิดเชิงลบ หรือปัญหา […]

5 วิธีฮีลใจเมื่อรู้สึกโดดเดี่ยว

รู้สึกโดดเดี่ยว จะฮีลใจยังไงให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง การรู้สึกโดดเดี่ยว เป็นอารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนในช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิต อาจเป็นผลมาจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น การสูญเสียคนสำคัญ, การแยกตัวจากสังคม ในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือการเผชิญหน้ากับความท้าทายในชีวิต การรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านี้มีความสำคัญมาก เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อจิตใจ ของเราเท่านั้น แต่ยังอาจกระทบต่อ สุขภาพกาย ได้อีกด้วย ความเหงา และความโดดเดี่ยวสามารถทำให้เรารู้สึกท้อแท้และหมดแรงใจ การ ฮีลใจ เมื่อรู้สึกโดดเดี่ยวอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีวิธีการและแนวทางที่สามารถช่วยให้เราฟื้นตัวและกลับมาแข็งแรงพร้อมที่จะรับมือกับชีวิตได้อีกครั้ง Table of Contents รู้จักกับความโดดเดี่ยว ความโดดเดี่ยวเป็นภาวะที่ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกเหงาหรือการอยู่คนเดียว แต่เป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่านั้น ซึ่งมักจะทำให้เรารู้สึกว่าขาดการเชื่อมต่อทางอารมณ์กับคนรอบข้าง ความโดดเดี่ยวอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงในชีวิต ความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน หรือการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแล ความโดดเดี่ยวอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรง เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือแม้กระทั่งการสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง การเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวอย่างเข้าใจและเปิดใจในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เรากลับมารู้สึกเติมเต็มและเชื่อมโยงกับผู้อื่นอีกครั้ง สาเหตุของความโดดเดี่ยว สาเหตุของความโดดเดี่ยวมีความหลากหลายและซับซ้อน โดยอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคม การเปลี่ยนแปลงในชีวิต และภาวะทางจิตใจ หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยคือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เช่น การย้ายถิ่นฐาน ย้ายงาน หรือการเปลี่ยนแปลงในสถานภาพทางครอบครัว […]

การจัดการความคาดหวังจากครอบครัว

ความคาดหวังของครอบครัวและผลกระทบต่อสุขภาพจิต ในสังคมไทย ความคาดหวังจากครอบครัวถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางชีวิตของคนไทยหลายคน โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษา การทำงาน และการสร้างฐานะทางการเงิน ครอบครัวมักตั้งความหวังให้เราประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดีตามค่านิยมที่พวกเขาเชื่อว่าควรจะเป็น บ่อยครั้ง ความคาดหวังเหล่านี้สามารถทำให้เรามีแรงผลักดันในการพัฒนาตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราอาจรู้สึกถึงความต้องการในการทำให้ครอบครัวภูมิใจ และแรงจูงใจนี้สามารถเป็นประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การพัฒนาทักษะใหม่ ๆ หรือการตั้งเป้าหมายในอาชีพที่มีความท้าทาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ความคาดหวังที่สูงเกินไปหรือไม่สมเหตุสมผลสามารถสร้างความกดดันที่มากเกินไป และทำให้เรารู้สึกท้อแท้หรือขาดความมั่นใจในตนเองได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามในการตอบสนองความคาดหวังเหล่านี้อาจทำให้เราลืมใส่ใจความสุขและความต้องการของตัวเอง ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือหมดไฟในชีวิต ผลกระทบที่ตามมาอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตอย่างไม่รู้ตัว เช่น ความเครียด วิตกกังวล และการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือความรู้สึกโดดเดี่ยว แม้ว่าเราจะมีความพยายามสูงในการทำให้ครอบครัวพอใจ แต่การไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังเหล่านั้นอาจทำให้เรารู้สึกผิดหวังและโกรธตัวเองได้อย่างไม่หยุดยั้ง Table of Contents วิธีจัดการความคาดหวังจากครอบครัวอย่างมีสติ การจัดการกับความคาดหวังจากครอบครัวอย่างมีสติและรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญในการลดความกดดันและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเรา โดยการพิจารณาถึงความคาดหวังเหล่านั้นอย่างรอบด้าน เราสามารถเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองว่าความคาดหวังนั้นมีพื้นฐานมาจากความต้องการของเราหรือไม่ หรือเป็นเพียงแรงกดดันจากภายนอก การตั้งสติและการมีวิจารณญาณในการรับฟังเสียงภายในของตัวเองจะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของสถานการณ์ได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ การสร้างเวลาสำหรับการทบทวนความคิดและความรู้สึกของเราเองถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ในแต่ละวัน เราสามารถใช้เวลาสั้น ๆ ในการทำสมาธิหรือการเขียนบันทึก เพื่อสำรวจความรู้สึกเกี่ยวกับความคาดหวังที่เราถูกกดดันอยู่ การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่าความกดดันนั้นมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเราอย่างไร และทำให้เราสามารถหาวิธีรับมือที่เหมาะสมได้ […]

5 วิธีจัดการความเครียดจากการทำงาน

5 วิธีจัดการความเครียดจากการทำงานที่ได้จริง 5 วิธีจัดการความเครียดจากการทำงาน เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากในทุก ๆ อาชีพ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับภาระงาน ที่มากมายหรือเดดไลน์ ที่กระชั้นชิด การทำงานร่วมกับ เพื่อนร่วมงานที่มีความคิดเห็นหรือวิธีการทำงานที่แตกต่างกันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ความเครียดเพิ่มขึ้น รวมถึงการต้องแก้ไขปัญหาหรือจัดการกับเรื่องที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ การจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และ สุขภาพจิต ได้ อย่างไรก็ตาม การรับมือกับ ความเครียดจากการทำงาน สามารถทำได้โดยใช้วิธีการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความกดดันและเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การวางแผนงานล่วงหน้าและการจัดลำดับความสำคัญของงาน การมีทักษะในการ สื่อสาร ที่ดีเพื่อแก้ไขความขัดแย้งในทีม และการให้ความสำคัญกับการพักผ่อน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ในบทความนี้ เราจะมาดูวิธีการ บริหารเวลาการจัดการความคาดหวัง และการใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การฝึกสติ หรือการออกกำลังกาย 5 วิธีจัดการความเครียดจากการทำงานที่ได้จริง 1. การวางแผนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ การวางแผนงานที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเครียดจากการทำงาน เพราะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับภาระหน้าที่ที่ต้องทำในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแบ่งงานให้เหมาะสมช่วยลดการทำงานอย่างเร่งรีบและป้องกันความสับสน คุณสามารถใช้เทคนิคการจัดลำดับความสำคัญของงาน เช่น การแบ่งงานตามความเร่งด่วนและความสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถโฟกัสกับงานที่ต้องทำในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การจัดการเวลาอย่างเหมาะสมยังช่วยลดความเครียดได้มาก เพราะเมื่อคุณสามารถควบคุมเวลาของตัวเองได้ดี คุณจะไม่รู้สึกว่าต้องทำงานเกินความสามารถหรือเร่งรีบจนเกินไป […]